ข้อมูลท่องเที่ยวจังหวัดเลย
เขตพื้นที่การศึกษาที่ 1
- อำเภอเมือง
- อำเภอเชียงคาน ห่างจากตัวจังหวัด 47 กิโลเมตร
- อำเภอท่าลี่ ห่างจากตัวจังหวัด 47 กิโลเมตร
- อำเภอปากชม ห่างจากตัวจังหวัด 90 กิโลเมตร
- อำเภอนาด้วง ห่างจากตัวจังหวัด 32 กิโลเมตร
เขตพื้นที่การศึกษาที่ 2
- อำเภอวังสะพุง ห่างจากตัวจังหวัด 23 กิโลเมตร
- อำเภอภูกระดึง ห่างจากตัวจังหวัด 73 กิโลเมตร
- อำเภอภูหลวง ห่างจากตัวจังหวัด 49 กิโลเมตร
- อำเภอผาขาว ห่างจากตัวจังหวัด 70 กิโลเมตร
- กิ่งอำเภอหนองหิน ห่างจากตัวจังหวัด 50 กิโลเมตร
- อำเภอเอราวัณ ห่างจากตัวจังหวัด 50 กิโลเมตร
เขตพื้นที่การศึกษาที่ 3
- อำเภอด่านซ้าย ห่างจากตัวจังหวัด 82 กิโลเมตร
จังหวัดเลย
จังหวัดเลยเมืองท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โอบล้อมด้วยภูเขาสลับซับซ้อนท่ามกลางสายหมอกปกคลุมเหนือยอดภู อุดมไปด้วยพืชพรรณป่าไม้นานาชนิดที่รู้จักกันดี
คือ ภูกระดึง ภูหลวงและภูเรือ อากาศอันเย็นสบาย ภูมิประเทศที่งดงาม
ประเพณีวัฒนธรรมอันแตกต่างไปจากถิ่นอื่นซึ่งได้แก่การละเล่นผีตาโขนที่รอคอยนักเดินทางมาสัมผัสเมืองแห่งขุนเขาดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้
การมาเที่ยวที่จังหวัดเลย เราสามารถที่จะไปเที่ยวได้ทั้งปี โดยฤดูหนาวจะเป็นฤดูที่มีการท่องเที่ยวคึกคักที่สุด
เพราะแหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่ของจังหวัดเลยเป็นภูเขาสูง นักท่องเที่ยวจึงนิยมแวะเวียนมาสัมผัสไอหนาวและทะเลหมอก
ตลอดจนสีสันและความงามของไม้ดอกเมืองหนาว ที่ต่างแข่งขันกันบานตอนรับนักท่องเที่ยวในช่วงนี้
ส่วนฤดูฝนนั้นก็เหมาะกับผู้ที่ชอบชมน้ำตก เล่นน้ำ และฤดูร้อนก็เหมาะสำหรับผู้นิยมดูธรรมชาติ แก่ง หินและหาดทราย ความสวยงามที่ซ่อนอยู่ในไอร้อนแห่งฤดูร้อน
- แหล่งท่องเที่ยว
- จังหวัดเลย มีแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถแบ่งได้ 3 ประเภท ดังนี้
- (1) แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร ได้แก่
- * ภูเรือวโนทยาน อำเภอภูเรือ เป็นสวนองุ่นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นที่ผลิตไวน์ "ชาโต้ เดอเลย บรั่นดี" วิคตอรี่"
- * สถานีทดลองเกษตรที่สูงภูเรือ ซึ่งเป็นที่ทดลองปลูกพืชเมืองหนาว
- * ตลาดนัดไม้ดอก ไม้ประดับ บ้านหนองบง อำเภอภูเรือง
- * โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ผานาง-ผาเกิ้ง เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ภายในโครงการมีการทอผ้าไหม เครื่องหัตถกรรม เครื่องครัวผลิตจากไม้ไผ่และไม้สัก เป็นต้น
- (2) แหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ได้แก่
- * ถ้ำ 6 แห่ง
- * ที่ทำการศูนย์ในอุทยาน/วนอุทยาน/เขตรักษาพันธุ์สัตว์ 3 แห่ง
- * ธรณีสัณฐาน/ลานหิน/เนินดิน/เสาหิน 13 แห่ง
- * น้ำตก 16 แห่ง
- * ป่าไม้ 2 แห่ง
- * ภูเขา 1 แห่ง
- * ลำน้ำ/แม่น้ำ/ลำคลอง 1 แห่ง
- * แก่งหิน/ชายตลิ่ง 1 แห่ง
- * สวนสาธารณะ 1 แห่ง
- * สวนพฤกศาตร์/สวนป่า 1 แห่ง
- * หน้าผา/ที่ชมวิว/โขดหิน 6 แห่ง
- * แหล่งน้ำธรรมชาติ/หนองน้ำ/บึง 1 แห่ง
- (3) แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์โบราณวัตถุศาสนสถาน
- * โบราณสถาน/โบราณวัตถุ 3 แห่ง
- * เมืองโบราณ 2 แห่ง
- * วัด/สำนักสงฆ์/ปูชนียสถาน 7 แห่ง
- * ศูนย์วัฒนธรรม 1 แห่ง
- * สนามกีฬา 1 แห่ง
- * อนุสาวรีย์/ศาล/อนุสรณ์สถาน 2 แห่ง
- เที่ยวชมศิลปะถ้ำในเมืองเลย
- หลักฐานการดำรงอยู่ของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ผู้ยังไม่สามารถคิดประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ ได้แฝงเร้นอยู่ในแถบถิ่นนี้มานับพันปี ก่อนที่นักโบราณคดีผู้มีหน้าที่สานภาพอดีตจากหลักฐานที่คงเหลืออยู่จะมาพบในปี พ.ศ. 2515 โครงการเขื่อนผามองได้เกิดขึ้น ทางภาครัฐได้มอบหมายให้สำนักงานพลังงานแห่งชาติร่วมมือกับกรมศิลปากร ออกสำรวจทางโบราณคดีทั่วบริเวณที่จะถูกน้ำท่วม พื้นที่ของจังหวัดเลยก็รวมอยู่ในโครงการฯ ด้วย การสำรวจทางโบราณคดีในจังหวัดนี้ จึงได้เริ่มอย่างจริงจังนับจากนั้นเป็นต้นมา จนปัจจุบันได้พบหลักฐานทางโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์มากมายหลายชิ้นด้วยกัน กระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งจังหวัด ส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือของใช้ที่ทำจากหิน เช่น เครื่องมือหินกระเทาะ ขวานหินขัด กำไลหิน นอกจากหลักฐานที่เป็นเครื่องมือแล้ว นักโบราณคดียังได้สำรวจพบภาพเขียนสีตามถ้ำ หน้าผา เพิงผาต่างๆ หลักฐานที่พบนี้เรียกรวมๆ ว่า "ศิลปะถ้ำ"
- นับตั้งแต่พ่อลูกคู่หนึ่งเปิดเผยให้ภาพเขียนสีรูปวัวไบซัน ที่ถ้ำอัลตามิราของสเปน เมื่อปี พ.ศ. 2422 ศิลปะถ้ำก็ถูกนับเป็นศาสตร์อีกแขนงหนึ่งที่ได้รับความสนใจไม่น้อยไปกว่าหลักฐานประเภทอื่น ศิลปะถ้ำนอกจากเป็นจุดสนใจของนักท่องเที่ยวแล้ว ยังสามารถใช้เป็นหลักฐานทางโบราณคดีได้ด้วย
- เลยเป็นหนึ่งใน 9 จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ได้ค้นพบศิลปะถ้ำ ภาพเขียนที่พบมีจำนวนที่นับได้เป็นอันดับที่ 3 รองจากอุดรธานีและอุบลราชธานี ตามลำดับ
- "ศิลปะถ้ำ" ค้นพบได้ทั้งตามบริเวณผนังถ้ำ เพิงผา และก้อนหินหรือเพิงหิน ปัจจุบันเท่าที่ค้นพบแล้วในเขต 9 จังหวัดของภาคอีสาน ซึ่งได้แก่ เลย อุดรธานี สกลนคร ขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา อุบลราชธานี มุกดาหาร และกาฬสินธุ์ รวมทั้งสิ้น 131 แห่ง ในจำนวนนี้พบอยู่ตามก้อนหินมากที่สุดถึง 101 แห่ง พบตามหน้าผา 13 แห่ง เพิงผา 13 แห่ง และถ้ำเพียง 4 แห่ง เท่านั้น ส่วนมากพระธุดงค์และชาวบ้านไปพบเข้าโดยบังเอิญ
- ศิลปะถ้ำ มี 2 ลักษณะคือ การเขียนสีและการทำรูปรอย ซึ่งสามารถแยกวิธีย่อยๆ ออกไปได้อีกหลายแบบ เช่น การเขียนสีก็มีทั้งการวาดด้วยสีแห้ง การเขียนหรือระบาย การพ่น ส่วนการทำรูปรอยลงในหินก็มีทั้งการขูดขีด การตอก เป็นต้น ศิลปะถ้ำที่พบโดยมากในแถบอีสานหรือที่อื่นในเมืองไทยก็ตาม จะใช้เทคนิคการลงสีเป็นส่วนใหญ่ และภาพเขียนสีที่พบในเมืองไทยส่วนมากจะเขียนด้วยสีแดง เหลือง ขาว และสีดำบ้าง
- นักโบราณคดีไทยสันนิษฐานว่า ศิลปะที่เกิดขึ้นนี้ น่าจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ในการดำรงอยู่แห่งชีวิตผู้คนในสังคม กล่าวคือ มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์คงสร้างศิลปะถ้ำสำหรับพิธีกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสภาพสังคมความเป็นอยู่ มากกว่าเขียนขึ้นเพื่อความสวยงาม
- สำหรับถ้ำที่พบงานศิลปะโบราณในจังหวัดเลยนั้น ส่วนใหญ่ชาวบ้านในพื้นที่จะเป็นผู้แจ้งผ่านไปทางจังหวัด กรมศิลปากรได้เข้าสำรวจอย่างจริงจังตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521 โดยเริ่มที่ถ้ำผาฆ้อง อำเภอภูกระดึง จนปัจจุบัน (พ.ศ. 2531) ค้นพบทั้งหมดรวม 10 แห่ง บางแห่ง เช่น ถ้ำผาปู่ ถ้ำมโหฬารอยู่ในสภาพลบเลือนไปมากอย่างน่าเสียดาย ส่วนที่ยังคงอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ที่เด่นที่สุดน่าจะได้แก่ ถ้ำลายแทง บ้านผาสามยอด ตำบลผานกเค้า อำเภอภูกระดึง เมื่อได้มาเยือนดินแดนแถบนี้เพื่อพิชิตยอดภูกระดึงแล้ว นักท่องเที่ยวประเภทลุยไม่น่าพลาดถ้ำลายแทง
- "ห้องแสดงภาพชีวิตมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์" แห่งนี้ เพราะนอกจากจะได้ชมภาพเขียนสีที่มีขนาดใหญ่จำนวนมากกว่าที่พบในถ้ำใดๆ ในจังหวัดเลยแล้ว การเดินชมยังต้องเดินขึ้นเขาลงห้วยกันแบบพอได้เหงื่ออีกด้วย
- ตามประวัติ ชาวบ้านครอบครัวหนึ่งซึ่งอพยพเข้าไปตั้งบ้านเรือนในบริเวณเชิงเขาผานกเค้า เพื่อหาที่ทำกินตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 บังเอิญได้พบภาพเขียนเป็นรูปคนหลายคนอยู่ที่ผนังถ้ำ ก็คิดว่าภายในคงมีสมบัติซุกซ่อนอยู่ จึงเรียกถ้ำนี้ว่า "ถ้ำลายแทง" จากนั้นก็ได้มีการขุดพื้นที่ในถ้ำเพื่อหาสมบัติกันอยู่เนืองๆ กว่าทางกรมศิลปากรจะเข้ามาสำรวจในปี พ.ศ. 2526 สภาพชั้นดินภายในถ้ำก็ถูกทำลายไปหมดแล้ว เมื่อสอบถามชาวบ้านก็ทราบแต่เพียงว่าเคยมีเศษภาชนะดินเผา ถ้วยและไหดินเผา แต่ยังเป็นที่น่ายินดีอยู่บ้านที่ตัวภาพเขียนสียังรอดพ้นจากน้ำมือคนมาได้ จะมีที่เสียหายบ้างก็จากธรรมชาติ
- การเดินทางไปชมภาพเขียนสีที่ถ้ำลายแทงนั้น จะต้องออกแรงพอเหนื่อย ด้วยสภาพป่าเขาทุรกันดาร นับจากทางแยกเข้าหมู่บ้านที่ถนนสายขอนแก่น-เลย รถยนต์เข้าไปได้เพียง 3 กิโลเมตร จากนั้นต้องลงเดินเท้าเข้าไปอีกเป็นระยะทางประมาณ 5-6 กิโลเมตร ตลอดสองข้างทางเป็นแนวพงหญ้าสูงท่วมหัว นอกจากต้องเดินข้ามเขาแล้ว ยังต้องลุยข้ามแม่น้ำพองอีก เป็นการเพิ่มรสชาติให้ควรแก่ความทรงจำยิ่งขึ้น
- เมื่อถึงเชิงเขาหินปูนใกล้กับผาสามยอด เทือกเขาเดียวกับผานกเค้า ตัวถ้ำอยู่สูงจากเชิงเขาขึ้นไปอีก 40 เมตร ปากถ้ำกว้าง 10 เมตร มี 2 คูหาเรียงกัน ในคูหาแรกไม่มีภาพเขียนสี เดินต่อไปยังคูหาที่ 2 จึงจะพบ จากหน้าถ้ำซึ่งสูง 5 เมตร ปากถ้ำมีเหวลึกลงไปอีกราว 7 เมตร ภาพเขียนสีอายุนับพันปีรอผู้มาเยือนอยู่ที่ผนังสูงจากพื้นราว 2 เมตร นับโบราณคดีกล่าวว่า การเลือกเขียนภาพตามบริเวณปากถ้ำเช่นนี้ เป็นลักษณะที่พบได้เป็นส่วนใหญ่ ตามบริเวณเพิงหิน เพิงผาในแหล่งอื่นก็เช่นกัน การที่ศิลปินโบราณไม่นิยมเขียนภาพไว้ในส่วนลึกที่มืดทึบของถ้ำ ช่วยสนับสนุนข้อสันนิษฐานที่ว่าสถานที่เหล่านี้ใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรมหรือทำกิจกรรมร่วมกัน จึงไม่จำเป็นต้องซ่อนเร้นแต่อย่างใด
- รูปภาพของศิลปินโบราณกินพื้นที่ของผนังถ้ำกว่า 9 เมตร เขียนด้วยสีแดงคล้ายน้ำหมากและสีแดงปนส้ม รวม 74 ภาพ แบ่งเป็นภาพคน 40 ภาพ ภาพสัตว์ 14 ภาพ ภาพมือคน 8 ภาพ ภาพสัญลักษณ์ 12 ภาพ มากที่สุดในบรรดาศิลปะถ้ำที่มีอยู่ในจังหวัดเลย แม้พื้นที่ของภาพจะไม่มากเท่าแหล่งใหญ่ๆ อย่าผาแต้ม หรือเขาจันทน์งาม (จังหวัดนครราชสีมา) แต่ก็มีความโดดเด่นและสำคัญไม่ด้อยกว่ากันเลย ด้วยปริมาณความหนาแน่นของภาพ สาระและเรื่องราวที่ปรากฏ ลักษณะเด่นอยู่ที่เป็นภาพคน ส่วนใหญ่แสดงอิริยาบถต่างๆ ซึ่งพบไม่มากในที่อื่นๆ และภาพมือที่น่าสนใจเป็นพิเศษที่มีเทคนิคการทำภาพเหมือนกับภาพที่พบแถบริมฝั่งแม่น้ำโขงช่วงจังหวัดอุบลราชธานีและมุกดาหาร ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษที่พัฒนามาจากขั้นพื้นฐานธรรมดา (พ่น, ทาบ) คือ การทำภาพโดยทาสีที่มือ แล้วขูดสีบางส่วนออกจากนิ้วมือและอุ้งมือ และทาบลงบนผนังหิน
- นักโบราณคดีสันนิษฐานจากภาพที่บอกเล่าเรื่องราวการล่าสัตว์ โดยมีหมาเข้าช่วยว่า กลุ่มชนที่เขียนภาพนี้เป็นกลุ่มที่ตั้งชุมชนอยู่บนพื้นราบ มีกฏและระเบียบทางสังคมร่วมกัน รู้จักเลี้ยงสัตว์ (ภาพหมา) ทั้งยังมีการติดต่อสัมพันธ์กับคนแถบริมฝั่งแม่น้ำโขงทางด้านทิศตะวันออกของภาคนี้อีกด้วย (ภาพมือ)
- สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของอำเภอเมืองเลย
- ศาลเจ้าพ่อกุดป่องและศาลหลักเมือง
- ตั้งอยู่ในเขตเทศบาล ริมแม่นำกุดป่อง ห่างจากวงเวียนประมาณ 100 เมตร ติดกับสวนสาธารณกุดป่อง เป็นศาลเก่าแก่ที่ประชาชนเคารพนับถือมากเพราะเชื่อกันว่า เป็นส่วนหนึ่งในตำนานการเกิดเมืองเลย และเป็นที่สถิตดวงวิญญาณเจ้าพ่อทองคำองค์เสาหลักเมืองทำด้วยไม้ราชพฤกษ์ ความสูงจากฐานถึงยอด 179 เซนติเมตร ยอดเสาแกะสลักลงรักปิดทองทั้งองค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระสุหร่ายและทรงเจิมศาลเมื่อ พ.ศ. 2525 มีประชาชนเคารพนับถือเป็นจำนวนมาก
- สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา พระบรมราชินีนาถ หรือสวนสาธารณะป่าเลิงใหญ่
- ตั้งอยู่ตรงข้ามเทศบาลเมืองเมือง เป็นสวนสาธารณะที่มีเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ มีสวนดอกไม้ประดับเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ และออกกำลังกาย พื้นที่ของสวนติดกับแม่นำเลย นักท่องเที่ยวสามารถเดินผ่านข้ามสะพานแขวนเข้าไปเที่ยวชมได้ได้อย่างสะดวก
- สวนสาธารณะกุดป่อง
- อยู่ด้านหลังศาลเจ้าพ่อกุดป่อง มีคูน้ำล้อมรอบ ภายในสวนสาธารณะตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับต่าง ๆ อย่างสวยงาม ดูร่มรื่น ใช้เป็นที่พักผ่อนและออกกำลังกาย
- ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเลย
- ตั้งอยู่ในสถาบันราชภัฏเลย เป็นอาคาร 2 ชั้น รวบรวมและเผยแพร่เรื่องราวทางด้านศาสนา ประเพณี และวิถีชีวิตของชาวเลยในหลาย ๆ ด้าน ภายในตัวอาคารศูนย์วัฒนธรรมมีการจัดแสดงแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
- ส่วนแรก ห้องประชุมและฉายสไลด์เกี่ยวกับเมืองเลยและแสดงข้าวของเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนในอดีต
- ส่วนที่สอง ห้องนิทรรศการชั่วคราวจัดแสดงเกี่ยวกับพระพุทธรูปเก่าที่ทำมาจากไม้ หินทราย ดินเผาและเงิน หน้ากากผีตาโขน ข้าวของเครื่องใช้โบราณ ซึ่งของทั้งหมดได้มาจากชาวบ้านในท้องถิ่นเมืองเลย นอกจากนี้ยังมีส่วนนิทรรศการหมุนเวียนทุก 3 เดือนโดยจัดแสดงเรื่องราวต่างๆของเมืองเลยตามเทศกาลประเพณี
- ส่วนที่สาม มีห้อง "เบิ่งไทเลย" เป็นห้องจัดแสดงนิทรรศการถาวรถือเป็นส่วนสำคัญและจัดแสดงได้โดดเด่นที่สุดภายในห้องขนาดใหญ่นี้จัดแสดงเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับจังหวัดเลย เนื้อหาของนิทรรศการครอบคลุมในทุกด้านทั้งธรณีวิทยา ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ ประเพณีและกลุ่มชาติพันธุ์ ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเลย เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.30-16.30 น. ถ้าต้องการเข้าชมเป็นหมู่คณะต้องทำหนังสือแจ้งล่วงหน้าเพื่อความสะดวกในการเข้าชม ติดต่อที่ศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดเลย สถาบันราชภัฎเลย ถนนเลย-เชียงคาน อำเภอเมือง จังหวัดเลย 42000 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร.0 4283 5223-8 ต่อ 1132
- อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำหมานตอนบนและห้วยกระทิง
- เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง มีบริเวณที่สวยงาม มีการบริการเรือหางยาวนำชมทิวทัศน์รอบอ่าง และเรือแพไม้ไผ่สำหรับพักผ่อนกลางอ่างมีแพนั่งกลางอ่างเก็บน้ำ หลายกลุ่ม อยู่เส้นทาง ถนนเลย ด่านซ้าย ออกจากตัวเมืองเลย ประมาณ 10 กิโลเมตร มีทางเลี้ยวขวา เข้าไปอีกประมาณ 5 กิโลเมตร ก็จะพบกับร้านบริการ จนถึงหมู่บ้าน
- วัดถ้ำผาปู่
- ภายในมีพระธาตุอัฐิของ หลวงปู่คำดี ปภาโส ผู้ค้นพบถ้ำผาปู่แห่งนี้ ถ้ำผาปู่หรือถ้ำเพียงดินที่ชาวบ้านเรียกกัน มีลักษณะเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่อยู่ใต้ภูเขาหินมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายในถ้ำและมีหินงอกหินย้อยแปลกตา บริเวณภายนอกถ้ำมีต้นไม้ร่มรื่น เป็นแหล่งอาศัยของค้างแว่นถิ่นเหนือ ชะนี ลิง
- อนุสรณ์สถาน พตท.1718
- ใช้เส้นทาง เลย-วังสะพุง ออกจากตัวเมืองไปเล็กน้อย จะอยู่ติดกับถนนมะลิวัลย์ ทางด้านขวามือ ขี่ออกจากตัวเมืองเลย อนุสรณ์สถาน พตท.1718 เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความร่วมมือและความเสียสละร่วมกันของพลเรือน ตำรวจ และทหารตลอดจนพี่น้องอาสาสมัคร และประชาชน ที่ได้ร่วมกันต่อสู้เพื่อรักษาเมืองเลย
- ศาลเจ้าพ่อกุดป่องและศาลหลักเมือง
- สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของอำเภอเชียงคาน
- วัดศรีคุณเมือง
- อยู่ที่ถนนชายโขง ซอย 7 ทางด้านเหนือของตลาดเชียงคาน สร้างมาแต่เมื่อครั้งใด ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด แต่จากจารึกอักษรธรรมลาวที่ฐานพระพุทธรูปในวัดศรีคุณเมือง 2 องค์ว่า วัดแห่งนี้สร้างขึ้นก่อน พ.ศ. 2377 และยังมีหลักฐานหินชนวนที่ผนังข้างประตูโบสถ์ระบุว่า พระครูบุดดี อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีคุณเมือง กับศิษย์และฆราวาสผู้มีจิตศรัทธา ร่วมกันสร้างวัดแห่งนี้แต่เริ่มแรก และต่อมา พระอนุพินาศ เจ้าเมืองปากเหืองหรือเมืองเชียงคานในเวลาต่อมา พร้อมด้วยนางกวยหรือกล้วย ผู้เป็นภริยา บุตรธิดาและหมื่นทั้งหลาย ได้ร่วมกันสร้างโบสถ์ วิหาร และพระพุทธรูปไว้ให้แก่วัดศรีคุณเมือง
- วัดนี้เป็นแหล่งรวมงานศิลปะทั้งแบบล้านนาและล้านช้างดังจะเห็นได้จากโบสถ์ ซึ่งหลังคาลดหลั่นอย่างศิลปะล้านนา ศิลปวัตถุที่สำคัญมีหลายชิ้น เช่นพระพุทธรูปไม้จำหลัก ลงรักปิดทองปางประทานอภัยแบบล้านช้าง พระพุทธรูปดังกล่าวมีพระเกศาเป็นปุ่มแหลมเล็ก พระกรรณค่อนข้างแหลมและยาว สันนิษฐานว่ามีอายุในราวพุทธศตวรรษที่ 24-25 นอกจากนี้ในวัดยังมีธรรมาสน์แกะสลักไม้ลงรักปิดทองทุกด้านที่พนักหลังมียอดคล้ายปราสาท ขาทั้งสี่เป็นหัวเม็ดทรงมัน นอกจากนี้ยังมีฮางฮด (คือรางรด) ซึ่งจะพบเห็นได้ทางภาคเหนือเช่นกัน แต่ปัจจุบันหาชมได้ยากแล้ว ฮางฮดทำเป็นรูปคล้ายเรือสุพรรณหงส์ เป็นลำรางขนาดเล็กและยาวสำหรับนำร่องน้ำไปสรงพระสงฆ์ที่นั่งอยู่ที่ปลายอีกด้านหนึ่ง ชาวบ้านจะนำฮางฮดมาใช้เฉพาะกับพระผู้ใหญ่ที่เลื่อมใส ส่วนมากมักเป็นพระที่มีสมณศักดิ์สูง หรือบางครั้งก็ใช้กับเจ้าเมือง ด้านหน้าโบสถ์มีภาพจิตรกรรฝาผนังอยู่เต็มหน้าบัน ภาพทั้งหมดเป็นภาพนิทานชาดกชุดพระเจ้าสิบชาติซึ่งวาดขึ้นใหม่แทนของเดิม
- วัดท่าแขก
- วัดท่าแขกเป็นวัดเก่าแก่โบราณตั้งอยู่ริมฝั่งโขง ในเขตอำเภอเชียงคาน มีประวัติเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์เมืองเชียงคาน เชื่อว่าวัดท่าแขกสร้างในปี พ.ศ. 1905 ตรงกับสมัยขุนคานสร้างเมืองเชียงคาน พร้อมกับวัดศพที่เมืองสานะคาม (เมืองเชียงคานเดิม) ทางฝั่งลาวซึ่งอยู่ตรงข้ามนั่นเอง แต่นักวิชาการบางท่านสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในปี พ.ศ. 2020 ตรงกับสมัยพระเจ้าสุวรรณบัลลังก์ เพราะมีเรื่องเล่าว่า เมื่อครั้งเกิดศึกญวน พระเจ้าชัยจักรพรรดิแผ่นแผ้วกับข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่ง หลบศึกสงครามมาตั้งบ้านเรือนอยู่สองฝั่งลำน้ำโขงบริเวณวัดศพ พระเจ้าสุวรรณบัลลังก์รัชกาลต่อมา ได้สร้างพระยืนขึ้นที่วัดศพ โดยสกัดจากหินที่ผาฮด และได้สร้าง "วัดท่าแขก" พร้อมกันไปด้วย โดยวัดศพนั้นให้ฝ่ายหญิงได้ร่วมกันสร้าง ส่วนวัดท่าแขกให้ฝ่ายชายร่วมมือกันสร้าง ในที่สุดฝ่ายหญิงสามารถสร้างวัดศพได้เสร็จก่อน แถมพระพุทธรูปที่ประดิษฐานในวัดยังองค์ใหญ่โตและสวยงามกว่า เพราะตั้งใจสร้างทั้งกลางวันกลางคืนฝ่ายนั้นไม่ทำงานแต่กลับไปเฝ้าเกี้ยวพาราสีหญิงสาวจึงสู้ไม่ได้
- พระพุทธรูปวัดท่าแขกเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ สกัดจากหินทั้งก้อน หน้าตักกว้างประมาณ 2 ศอกเศษ มีอายุประมาณ 300 กว่าปี ปัจจุบันได้มีการสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ แต่รักษารูปแบบสถาปัตยกรรมแบบลาวหรือล้านช้างอย่างของเดิมไว้
- วัดท่าแขกห่างจากอำเภอเชียงคานประมาณ 2 กิโลเมตร ไปตามเส้นทางเชียงคาน-ปากชม จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ ถึงก่อนทางเข้าแก่งคุดคู้
- พระพุทธบาทภูควายเงิน
- อยู่ที่บ้านอุมุง ตำบลบุฮม การเดินทาง ใช้เส้นทางสายเชียงคาน-ปากชม ระยะทาง 6 กิโลเมตร ถึงหมู่บ้านผาแบ่นมีทางแยกเข้าบ้านอุมุง 3 กิโลเมตร จะถึงทางขึ้นเขาเป็นทางลูกรังระยะทาง 1 กิโลเมตร พระพุทธบาทภูควายเงินเป็นรอยพระพุทธบาทยาวประมาณ 120 เซนติเมตร กว้าง 65 เซนติเมตร ประดิษฐานบนหินพร้า(หินลับมีด) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อพ.ศ. 2478 รอยพระพุทธบาทภูควายเงินเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านในแถบนี้มาก สมัยก่อนครั้งที่การเดินทางมานมัสการยังลำบาก เชื่อกันว่าคนที่มีบุญวาสนาเท่านั้นจึงจะเดินทางมากราบไหว้ได้ คนที่วาสนาไม่ถึงจะต้องมีเหตุให้มาไม่ได้ ทั้งที่ตั้งใจไว้อย่างเต็มที่ก็ตาม บางคนก็หลงทาง ทุกปีในวันขึ้น15 ค่ำ เดือน 3 หรือเดือน 4 ทางวัดจะจัดงานสมโภชประจำปีถือเป็นงานสำคัญของชาวบ้านในแถบนี้
- แก่งคุดคู้
- เป็นแก่งหินใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำโขง ในช่วงโค้งของลำน้ำโขงพอดี ทำให้เกิดกระแสน้ำเชี่ยวไหลผ่านแก่ง ในหน้าน้ำ น้ำจะท่วมจนมองไม่เห็นแก่ง เวลาที่เหมาะจะชมแก่งคุดคู้คือเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นเวลาที่น้ำแห้งมองเห็นเกาะแก่งชัดเจนมีโค้งสันทรายริมแม่น้ำ สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสสายน้ำโขงและธรรมชาติสองฝั่งอย่างใกล้ชิด ท่าเรือบริเวณลานจอดรถมีบริการเช่าเรือยนต์ล่องแม่น้ำโขงโดยใช้เวลาไป-กลับประมาณ 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีร้านขายอาหารเช่นไก่ย่าง ส้มตำ ลาบ โดยเฉพาะพล่า กุ้งเต้น ต้มยำปลาจากลำน้ำโขงเป็นอาหารแนะนำในราคาไม่แพง การเดินทางจากตัวอำเภอเชียงคานนักท่องเที่ยวสามารถนั่งรถสายรอบเมืองไปแก่งคุดคู้ได้ซึ่งห่างจากตัวอำเภอเชียงคานประมาณ 3 กิโลเมตร
- ภูทอก
- ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 2 ตำบลเชียงคาน อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย เป็นสถานีทวนสัญญาณเขา 483 และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวบนภูเขา เพื่อชมทิวทัศน์ ระยะห่างจากตัวอำเภอเชียงคานประมาณ 5 กิโลเมตร
- ตารางแสดงลักษณะเด่นของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอเชียงคาน
- วัดศรีคุณเมือง
- สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของอำเภอด่านซ้าย
- พระธาตุศรีสองรัก
- ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำหมัน ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 1 กิโลเมตร หรือห่างจากตัวจังหวัด 83 กิโลเมตร ไปตามทางหลวงหมายเลข 203 แล้วแยกขวาตรงกิโลเมตรที่ 66 เข้าทางหลวงหมายเลข 2013 อีก 15 กิโลเมตร ถึงอำเภอด่านซ้ายจากนั้นแยกขวาเข้าเส้นทาง 2113 อีก 1 กิโลเมตร
- พระธาตุศรีสองรักมีรูปทรงลักษณะศิลปกรรมแบบล้านช้าง องค์พระธาตุสูง 19.19 เมตร ฐานกว้างด้านละ 10.89 เมตร ฐานเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ย่อมุมไม้สิบสอง องค์ระฆังทรง "บัวเหลี่ยม" คล้ายพระธาตุพนม พระธาตุหลวง(เวียงจันทน์) พระธาตุศรีโคตรบอง(แขวงคำม่วน) และอีกมากมายแถบลุ่มน้ำโขง พระธาตุศรีสองรักสร้างขึ้นถวายเป็นอุเทสิกเจดีย์ (หมายถึงเจดีย์สร้างขึ้นโดยเจตนาอุทิศให้พระศาสนา โดยไม่กำหนดว่าต้องเก็บรักษาสิ่งใด) สร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2103 เสร็จในปี พ.ศ.2106 พระธาตุศรีสองรักสร้างขึ้นเพื่อเป็นสักขีพยานในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันระหว่างกรุงศรีอยุธยา(สมัยพระมหาจักรพรรดิ)และกรุงศรีสัตนาคนหุต(เวียงจันทน์) สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
- นอกจากนี้ภายในวัดยังมีพระพุทธรูปปางนาคปรกศิลปะธิเบตด้วย ทุกวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 6 ชาวด่านซ้ายหรือ "ลูกผึ้งลูกเทียน" จะร่วมกันจัดงานสมโภชพระธาตุศรีสองรักขึ้นโดยจะนำต้นผึ้ง (ประดิษฐ์จากโครงไม้ไผ่เป็นทรงหอปราสาทขนาดกว้างราว 2 ฟุต สูง 2 ฟุตเศษ กรุรอบด้วยลวดลายงานแทงหยวกจากนั้นประดับด้วย "ดอกผึ้ง" ซึ่งทำจากแผ่นเทียนกลมๆ บางๆ ตากแดดแล้วจับเป็นกลีบ ตรงกลางติดดอกบานไม่รู้โรย หรือขมิ้นหั่นเล็กๆ ต่างเกสรดอกไม้สีสดใส ) เทียนเวียนหัว (เทียนแท่งที่ฟั่นยาวพอคาดได้รอบศีรษะ) มาถวายองค์พระธาตุถือเป็นประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี
- ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับองค์พระธาตุศรีสองรัก คือ ไม่ควรนำสิ่งของหรือดอกไม้สีแดงขึ้นบูชา ไม่ควรแต่งกายด้วยชุดสีแดงขึ้นไปนมัสการ เพราะองค์พระธาตุสร้างขึ้นเพื่อสัจจะและไมตรี สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของเลือดและความรุนแรง ไม่ควรกางร่ม สวมหมวกและสวมรองเท้าขึ้นไปบนพระธาตุ ไม่ควรนำเด็กต่ำกว่า 3 ปีขึ้นไปนมัสการ (หมายเหตุ : ก่อนท่านจะทำหรือประกอบพิธีใดๆ ที่เกี่ยวกับองค์พระธาตุขอให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าองค์พระธาตุก่อน )
- วัดเนรมิตรวิปัสสนา
- ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเนินเขาห่างจากพระธาตุศรีสองรักเพียงเล็กน้อย โบสถ์และเจดีย์ภายในวัดก่อสร้างขึ้นด้วยศิลาแลงทั้งหลังอย่างสวยงาม ภายในโบสถ์ขนาดใหญ่ ตกแต่งได้อย่างวิจิตรงดงามตามแบบศิลปะส่วนกลาง มีพระพุทธชินราชจำลองเป็นพระประทาน และมีหุ่นขี้ผึ้งของหลวงพ่อพระมหาพันธ์ สีลวิสุทโธ อดีตเจ้าอาวาสที่มรณะภาพแล้วประดิษฐานอยู่ ผนังภายในโบสถ์ มีภาพจิตรกรรมที่สวยงามประดับอยู่โดยรอบ
- น้ำตกแก่งสองคอน
- อยู่ที่บ้านห้วยนายูง ตำบลด่านซ้าย ใช้เส้นทางหมายเลข 2013 (ด่านซ้าย-นครไทย) อยู่ห่างจากพระธาตุศรีสองรักไปราว 400 เมตร แล้วเลี้ยวขวาไปตามทางลูกรังอีก 2 กม. จากนั้นเดินเท้าเข้าไปอีกเล็กน้อยก็จะถึงน้ำตกเป็นธารน้ำกว้างไหลผ่านก้อนหินลดหลั่นกันลงมา ท่ามกลางความร่มรื่น เหมาะสมสำหรับการพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง
- ตารางแสดงลักษณะเด่นของแหล่งท่องเที่ยวของอำเภอด่านซ้าย
- พระธาตุศรีสองรัก
- สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของ อำเภอท่าลี่
- พระธาตุสัจจะ
- ตั้งอยู่บริเวณวัดลาดปู่ บ้านท่าลี่ ตำบลท่าลี่ ไปตามทางหลวงหมายเลข 201 แยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2115 สายท่าลี่-อาฮี ห่างจากที่ว่าการอำเภอท่าลี่ประมาณ 2 กิโลเมตร องค์ประกอบของพระธาตุสัจจะ ประกอบด้วยดอกบัวบานมีกลีบ 3 ชั้น สูงประมาณ 1 เมตร ตั้งอยู่รอบองค์พระธาตุสัจจะ องค์พระธาตุสูง 33 เมตร มีสัญลักษณ์คล้ายคลึงกับพระธาตุพนม มีเศวตฉัตร 7 ชั้น ประดิษฐานไว้บนยอดสุดของพระธาตุสัจจะ เป็นมณฑป 8 เหลี่ยมเส้นผ่าศูนย์กลาง 9 เมตร สร้างขึ้นเพื่อสืบต่อดวงชะตาพระธาตุพนม ที่หักโค่นลงในอดีต และให้เป็นปูชนียสถาน อันเป็นที่เคารพสักการะของลูกหลานสืบไป
- น้ำตกห้วยไค้
- ตั้งอยู่ที่บ้านห้วยไค้ หมู่ที่ 4 ตำบลโคกใหญ่ อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย เป็นน้ำตกมาจากผาหิน 4 ชั้น โดยมีชั้นที่สูงที่สุดประมาณ 100 เมตร ส่วนอีก 3 ชั้น มีความสูงประมาณ 35 เมตร ห่างจากอำเภอท่าลี่ ประมาณ 19 กิโลเมตร
- แก่งโตน
- เป็นแก่งในลำน้ำเหือง ตั้งอยู่ที่บ้านปากห้วย หมู่ที่ 7 ตำบลหนองผือ อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย มีลักษณะเป็นพืชหิน หรือโขดหิน เกิดขึ้นตามธรรมชาติเรียงกันอยู่อย่างระเกะระกะ กีดขวางทางไหลของแม่น้ำเหือง มีสภาพคล้ายน้ำตกขนาดเล็ก มีทิวทัศน์สวยงามเป็นสถานที่ท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจ ห่างจากอำเภอท่าลี่ ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 10 กิโลเมตร
- ตารางแสดงลักษณะเด่นของแหล่งท่องเที่ยวของอำเภอท่าลี่
- ชื่อแหล่งท่องเที่ยว ตำบล ลักษณะเด่น
- พระธาตุสัจจะ ท่าลี่ ลักษณะคล้ายพระธาตุพนม องค์พระสูง 33 เมตร มีเศวตฉัตร 7 ชั้น ประดิษฐานไว้บนยอดพระธาตุใช้เวลาในการก่อสร้าง 4 ปี วัตถุประสงค์ในการสร้างมี 3 ประการ คือ เพื่อสืบต่อดวงชะตา พระธาตุพนมที่หักโค่นลงด้วยพระธาตุสัจจะแทนเพื่อให้เป็นปูชนียสถานอันเป็นที่เคารพสักการะของลูกหลานสืบไปและสุดท้ายเพื่อเป็นการตั้งสัจจา-บารมี ตามอธิฐานของผู้สร้างเอง
- พระธาตุมะนาวเดี่ยว อาฮี เป็นปูชนียสถานที่ได้สร้างขึ้นมาเป็นเวลาประมาณ 150 ปีมาแล้ว
- แก่งโตน หนองผือ มีลักษณะเป็นพืดหินหรือโขดหินเกิดขึ้นตามธรรมชาติเรียงกันอยู่อย่างระเกะระกะกีดขวางทางน้ำไหลของแม่น้ำเหือง มีสภาพคล้ายน้ำตกขนาดเล็ก
- แก่งเต้น น้ำทูน มีลักษณะเช่นเดียวกับแก่งโตน
- น้ำตกห้วยไค้ โคกใหญ่ เป็นลำน้ำตกมาจากผาหิน 4 ชั้น โดยมีชั้นที่สูงที่สุดประมาณ 100 เมตร ส่วนอีก 3 ชั้น มีความสูงประมาณ 35 เมตร เป็นน้ำตกที่สวยงามมาก
- น้ำตกห้วยชะนา ท่าลี่ สูงชั้นเดียว ชาวบ้านเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "น้ำตกห้วยกระโทม"
- พระธาตุสัจจะ
- สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของอำเภอภูเรือ
- อุทยานแห่งชาติภูเรือ
- ในบรรดาเทือกเขาแถบอำเภอภูเรือ ภูเขาลักษณะแปลงลูกหนึ่งมีชะโงกผายื่นออกมาคล้ายเรือสำเนาขนาดใหญ่ ที่ราบบนเขามีลักษณะคล้ายท้องเรือ จึงถูกเรียกขานในกาลต่อมาว่า "ภูเรือ" มีตำนานพื้นบ้านเล่าสืบกันมาว่า สมัยก่อนภูเรือเป็นเมือง ชาวบ้านเรียกกันว่าภูทุ่ง เจ้าเมืองภูทุ่งมีพระสหายสนิทเป็นเจ้าเมืองอีกที่หนึ่ง นั่นคือภูเมืองครั่ง เจ้าเมืองภูทุ่งมีโอรส ในขณะที่เจ้าเมืองภูครั่งมีธิดา ต่างฝ่ายต่างก็อยากเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่ธิดาเมืองครั่งนั้นมีคนรักอยู่แล้ว เมื่อโอรสเจ้าเมืองภูทุ่งจัดขันหมากมาสู่ขอ นางจึงลอบหนีไป โอรสเจ้าเมืองภูทุ่งจึงทำลายขันหมากทิ้งให้กลายเป็นหินเรียงรายอยู่ที่ "ทุ่งหินพานขันหมาก" และได้สร้าง "หินศิวลึงค์" ไว้ให้คนเคารพบูชา กับสร้าง "หินเต่า" เพื่อประชดตัวเอง
- เทือกภูเรือมีภูเขาสลับซับซ้อน พื้นที่ประมาณ 75,275 ไร่ กินอาณาเขตถึง 2 อำเภอด้วยกัน คืออำเภอภูเรือและอำเภอท่าลี่ มียอดภูเรือเป็นจุดสูงสุดของพื้นที่ สูงประมาณ 1,365 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ในอดีตภูเรืออุดมสมบูรณ์ด้วยป่าหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นป่าเต็งรัง ป่าดิบ ป่าเบญจพรรณ สัตว์ป่าก็มีหลายชนิด เช่น หมี เก้ง กวาง หมู่ป่า หมาใน ลิง ฯลฯ และฤดูหนาว จะมีนกอพยพจากประเทศจีนจำนวนมาก บริเวณยอดเขานั้นมีป่าสนเขา สวนหินธรรมชาติ ทุ่งหญ้า และดงดอกไม้ อย่างกุหลาบป่าสีแดงและสีขาว ดาวเรืองภู มอส เฟิน กล้วยไม้ป่าอีกหลายชนิด และมีห้วย ลำธารหลายสาย แต่ปัจจุบันลดความอุดมสมบูรณ์ลงไปมาก เพราะมีถนนขึ้นไปถึงยอดภูเรือ ทำให้พื้นที่ป่าถูกบุกรุกมากขึ้น
- อย่างไรก็ตาม ปี พ.ศ. 2522 พื้นที่ป่าภูเรือได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ เพราะมีสภาพธรรมชาติที่สวยงาม จุดที่น่าเที่ยวชมหลายแห่งอยู่ใกล้ถนนที่ตัดตรงขึ้นมาจากตัวอำเภอภูเรือสู่ยอดภู เดินทางขึ้นมาชมธรรมชาติได้โดยสะดวก
- จุดชมวิวเดโช อยู่ห่างจากที่ทำการเพียง 500 เมตร เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นสำหรับผู้ที่พักแรมในอุทยานฯ สามารถมองเห็นภูต่างๆ ของเมืองเลย อย่างภูผาสาด ภูคั่ง ภูหลวง เป็นต้น ได้อย่างทั่วถึง
- ผากุหลาบขาว อยู่เหนือจุดชมวิวเดโชขึ้นไป ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นผาชันและลานหินที่มีไลเคนสีเหลืองบ้าง ขาวบ้าง มองไกลๆ คล้ายกับลานกุหลาบขาว บางคนเรียกที่นี่ว่าผาซำทอง เพราะเห็นว่าไลเคนสีเหลืองมีประกายคล้ายทอง
- น้ำตกห้วยไผ่ อยู่ห่างจากที่ทำการเพียง 2 กิโลเมตร เนื่องจากมีน้ำไหลแรงทั้งปี จึงเป็นแหล่งน้ำที่ใช้เพื่อการประปาในบริเวณอำเภอภูเรือ
- ลานสวนหิน มีตำนานพื้นบ้านประกอบตัวอย่างเช่น หินเจ่า หินศิวลึงค์ หินพานขันหมาก ฯลฯ ทุกจุดมีป้ายบอกอย่างชัดเจน
- ยอดภูเรือ ประกอบด้วยป่าสนเขาสลับกับลานหินธรรมชาติ และกล้วยไม้สลับกับไม้พุ่มเตี้ยเป็นระยะ มีลานหินให้พักผ่อนได้อย่างสะดวกสบาย
- พระพุทธรูปนาวาบรรพต อยู่บนยอดภูเรือ ชาวอำเภอภูเรืออัญเชิญมาจากจังหวัดอยุธยา วันสงกรานต์ชาวบ้านจะขึ้นมานมัสการและสรงน้ำเป็นประจำทุกปี
- การเดินทาง จากตัวเมืองเลยใช้ทางหลวงหมายเลข 203 (เลย-ภูเรือ) ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาบริเวณหลักกิโลเมตร 49-50 ตรงที่ว่าการอำเภอภูเรือ เข้าไปเป็นทางลาดยางประมาณ 8 กิโลเมตร
- สถานีทดลองเกษตรที่สูงภูเรือ
- เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ด้านวิชาการในการศึกษาค้นคว้าทดลองไม้ดอกไม้ผลทั้งของเมืองหนาวและพืชสวนของท้องถิ่นที่เหมาะสมกับดินฟ้าอากาศและระบบนิเวศ จากนั้นก็ถ่ายทอดเผยแพร่ผลของการศึกษาวิจัยแก่เกษตรกรและผู้ที่สนใจต่อไป นักท่องเที่ยวที่สนใจเข้าชมไม้ผลและไม้เมืองหนาวควรไปช่วงเดือนกันยายน-เมษายน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0 4289 1398,0 4289 1199
- สวนองุ่นภูเรือวโนทยาน/ชาโต้เดอเลย
- ตั้งอยู่ที่บ้านแก่งแล่น ตำบลร่องจิก อำเภอภูเรือ บนถนนสาย ภูเรือ - ด่านซ้าย เป็นสวนท่องเที่ยวเชิงเกษตร มีโรงงานผลิตไวน์ และไร่องุ่น ให้นักท่องเที่ยวเยี่ยมชม
- สวนส้มสยามภูเรือ
- ตั้งอยู่ที่บ้านแก่งแล่น ตำบลร่องจิก อำเภอภูเรือ บนถนนสาย ภูเรือ - ด่านซ้าย เป็นสวนท่องเที่ยวเชิงเกษตร
- น้ำตกปลาบ่า หรือ น้ำตกตาดสาน
- อยู่ที่หมู่ 1 บ้านปลาบ่า ตำบลปลาบ่า เป็นน้ำตกที่ตกมาจากแผ่นหินขนาดใหญ่ลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่างเหมาะสำหรับเล่นน้ำและนั่งพักผ่อนรับประทานอาหาร บริเวณน้ำตกยังไม่มีร้านอาหาร
- การเดินทาง ใช้เส้นทางหมายเลข 203 (ภูเรือ-ด่านซ้าย) บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 57-58 เลี้ยวซ้ายทางเดียวกับสถานีทดลองเกษตรที่สูงภูเรือ (บ้านกกโพธิ์) เข้าไปตามทาง ลาดยาง 7 กิโลเมตร ก็จะถึงบ้านปลาบ่า จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปตามทางลาดยางอีกประมาณ 2 กิโลเมตร จะถึงน้ำตก
- ตารางแสดงลักษณะเด่นของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอภูเรือ
- อุทยานแห่งชาติภูเรือ
- สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของอำเภอปากชม
- แก่งจันทร์
- ที่ตั้ง ติดลำน้ำโขง เขตบ้านหาดคัมภีร์ ตำบลหาดคัมภีร์ เป็นเกาะแก่ง ตามลำน้ำโขง ติดถนนสายปากชม - สังคม
- น้ำตกตาดแกว
- ที่ตั้ง เขตบ้านนาค้อ หมู่ที่ 2 ตำบลปากชม อำเภอปากชม เป็นน้ำตกขนาดเล็ก ห่างจากหมู่บ้านนาค้อไปทางทิศตะวันตกประมาณ 5 กิโลเมตร
- ตารางแสดงลักษณะเด่นของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอปากชม
- แก่งจันทร์
- สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของอำเภอนาด้วง
- อ่างเก็บน้ำห้วยลิ้นควาย
- ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 4 บ้านแสงเจริญ และ หมู่ที่ 6 บ้านป่าหวายพัฒนา ตำบลนาด้วง อำเภอนาด้วง จังหวัดเลย
- วัดถ้ำประกายเพชร
- ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 3 บ้านโพนสว่าง ตำบลนาดอกคำ อำเภอนาด้วง
- ตารางแสดงสถานที่ลักษณะเด่นของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอนาด้วง
- อ่างเก็บน้ำห้วยลิ้นควาย
- สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของอำเภอนาแห้ว
- วัดโพธิ์ชัย
- ตั้งอยู่ที่ตำบลนาพึง อำเภอนาแห้ว เป็นวัดสำคัญมีมาแต่โบราณ สันนิษฐานว่าสร้างเมื่อประมาณปลายกรุงศรีอยุธยา มีพระพุทธรูปสำคัญคือ พระพุทธรูปองค์แสน ซึ่งเป็นพระพุทธรูปเก่าโบราณคู่บ้านคู่เมืองมาหลายชั่วอายุคน พระพุทธรูปองค์แสนหล่อด้วยสัมฤทธิ์ มีขนาดหน้าตักกว้าง 36 เซนติเมตร สูง 58 เซนติเมตร ประทับขัดสมาธิราบ พระพักตร์ยาวรี ยอดพระเมาฬีเป็นเปลวเพลิง พระสังฆาฏิเป็นท้องนาค สันนิษฐานว่าเป็นพระเชียงแสนรุ่นหลัง มีตำนานเล่ากันมาว่า พระพุทธรูปองค์นี้ปาฏิหาริย์เสด็จจากเมืองหงสา (ในลาว) มาที่วัดนี้ พร้อมด้วยมอก (อาวุธชนิดหนึ่งคล้ายปืน) ฆ้อง ทับ ฉิ่ง และลูกแก้วทองสัมฤทธิ์ 1 องค์ ซึ่งแต่เดิมเคยปรากฏบนพระเกศา แต่ว่ากันว่าต่อมาแก้วหนีพระ คือหนีไปปรากฏที่ยอดต้นตาลครั้งหนึ่งแล้วหายสูญไปเลย
- ครั้งหนึ่งเจ้าเมืองภูคั่ง จังหวัดเลย ต้องการอัญเชิญพระเจ้าองค์แสนไปประดิษฐานที่เมืองของพระองค์ จึงส่งช้างมารับ ทว่าช้างกลับหมอบลง ไม่ยอมเดิน ต้องอัญเชิญกลับไปประดิษฐานยังที่เดิม
- นอกจากนี้ ภายในวิหารหรือที่ชาวบ้านเรียกว่าอาราม ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเขียนเรื่องพุทธประวัติและวรรณกรรมท้องถิ่นที่ผนังด้านทิศเหนือมีจารึกว่า ภาพเขียนดังกล่าวเขียนขึ้นเมื่อ ศักราช 1214 สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นปีจุลศักราช ซึ่งเมื่อเทียบเป็นปีพุทธศักราชแล้วตรงกับ พ.ศ. 2395 ตรงกับช่วงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และที่ด้านนอกพระวิหารหลังเดียวกันนี้ ยังมีภาพจิตรกรรมซึ่งเขียนขึ้นในสมัยหลัง คือเมื่อปี พ.ศ.2459 อีกด้วย
- การเดินทางใช้ทางหลวงหมายเลข 2113 (ด่านซ้าย-นาแห้ว)
- อุทยานแห่งชาตินาแห้ว
- ตั้งอยู่ที่บ้านแสงภา อำเภอนาแห้วมีสภาพธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาอันเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารและน้ำตกที่วยงามหลายแห่ง เช่น น้ำตกคริ้ง น้ำตกวังตาด น้ำตกตาดเหือง น้ำตกช้างตก เป็นต้น และยังมีแหล่งท่องเที่ยว จุดชมวิวอีกหลายแห่งเหมาะสำหรับการเดินป่า ผจญภัย ซึ่งทางอุทยานแห่งชาตินาแห้ว มีสิ่งอำนวยความสะดวกบริการให้ ได้แก่ บ้านพัก อาหาร คนนำทาง ลูกหาบ ฯลฯ ติดต่อรายละเอียดและสำรองที่พักล่วงหน้าได้ที่ อุทยานแห่งชาตินาแห้ว โทร. 042-819340 หรือกองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ โทร.02-5614292
- ประกอบด้วยขุนเขาสลับซับซ้อนทอดตัวเป็นแนวยาวจากเหนือจรดใต้ มีภูสันทรายสภาพป่าไม้ส่วนใหญ่เป็นป่าดิบแล้งที่มีไม้ผลัดใบผสม ตามพื้นที่สูงเป็นป่าดิบเขาเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างแผ่นดินไทย-ลาว ทางตอนเหนือของอำเภอ อุทยานฯ ได้จัดเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ระยะทางประมาณ 7.2 กิโลเมตร มีสถานที่น่าสนใจ ได้แก่
- หินสี่ทิศ อยู่บนภูสันทราย ด้านใต้ เป็นหินทรายใหญ่ 4 ก้อน รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตั้งอยู่กลางป่าดิบ เนิน 1408 บนภูสันทราย จุดสูงที่สุดและเป็นจุดใจกลางของอุทยานฯ เนิน 1205 ห่างจากเนิน 1408 ประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สามารถมองเห็นประเทศลาวและยังเป็นจุดกางเต็นท์พักแรมด้วยเช่นกัน
- การเดินทางจากตัวเมืองเลย ไปตามทางหลวงหมายเลข 203 แล้วแยกขวาตรงกม.ที่66 เข้าทางหลวงหมายเลข 2113 ไปอีกประมาณ 35 กม. ก็จะถึงอุทยานแห่งชาตินาแห้ว
- อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติ
- อุทยานแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติหรือที่คนในพื้นที่อำเภอนาแห้วรู้จักในนามภูสันทราย ทางราชการเพิ่งจะประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2537 นี้เอง
- อุทยานฯ แห่งนี้ อยู่ในเขตอำเภอนาแห้ว มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนทอดตัวเป็นแนวยาวจากเหนือจดใต้ และมีภูสันทรายสูงโดดเด่นอยู่ท่ามกลางขุนเขาใหญ่น้อย ภูสันทรายสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,378 เมตร เป็นต้นน้ำห้วยทรายที่หล่อเลี้ยงสรรพชีวิตในนาแห้ว แล้วไหลมาสบกับแม่น้ำเหืองทางตอนเหนือของอำเภอ นับเป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างแผ่นดินไทย-ลาว
- ถ้าเริ่มต้นจากบริเวณทางขึ้นบ้านแสงภา เดินต่อไปทางทิศตะวันตกอีกประมาณ 7 กิโลเมตร จะถึงบริเวณที่ตั้ง "หินสี่ก้อน" ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้านนาแห้ว ชาวบ้านเชื่อว่าหินสี่ก้อนเป็นที่สถิตของผีปู่ย่าผีบรรพบุรุษ ลักษณะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่จำนวน 4 ก้อน ตั้งอยู่ทั้งสี่ทิศเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่ละก้อนมีระยะห่างประมาณ 8 เมตรเท่ากันทุกด้าน นับเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ ชาวบ้านอำเภอนาแห้วจะพากันเดินขึ้นมาประกอบพิธีไหว้บรรพบุรุษในทุกๆ 3 ปี
- เส้นทางเดินขึ้นไปสู่บริเวณหินสี่ก้อนนี้ จะลาดชันและสูงขึ้นเป็นลำดับ บางช่วงสูงจนแลเห็นผืนนาของชาวบ้านเป็นตารางสี่เหลี่ยมเล็กๆ และสามารถมองเห็นทะเลภูเขาชูยอดสูงต่ำสลับซับซ้อนกันไปทางด้านทิศตะวันตก บางภูที่รู้จักกันดี เช่น ภูผาแดง ภูทอกหมากฮุก ภูไก่เตี้ย เป็นต้น ล้วนเป็นภูสูงที่โดดเด่นเป็นเป้าสายตาของผู้เดินทาง
- จากบริเวณหินสี่ก้อน เดินต่อไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนืออีกประมาณ 4 กิโลเมตร จะไปถึงยอดสูงสุดของภูสันทราย การเดินช่วงนี้ไม่ยากลำบากนัก เพราะทางเป็นที่ราบไม่สูงชัน บางช่วงต้องเดินลัดเลาะไปตามลำห้วยธารน้ำ ระหว่างเส้นทางเห็นพันธุ์ไม้ เช่น ต้นตะเคียน ตะแบก มีเถาวัลย์พันก่ายไปทั่ว โยงจากต้นนั้นสู่ต้นนี้ ที่พื้นดินก็มีทุ่งผักกูดและพืชสมุนไพรพื้นบ้านและว่านบางชนิด เช่น กลิ้งกลางดง ซึ่งมีหัวรูปร่างคล้ายน้ำเต้า นอกจากนี้ยังมีผู้เฒ่าคอนช้าง ม่ายสิบสองผัว อย่างหลังว่ากันว่าเอาหัวไปต้มกินแล้วสวยไม่สร่างทีเดียว
- ห่างจากยอดภูสันทรายออกไปทางตะวันออกประมาณ 3 กิโลเมตร จะถึงบริเวณน้ำตกตาดทราย ซึ่งตกลงมาจากผาชันสูงประมาณ 300 เมตร บริเวณที่ตั้งน้ำตกแห่งนี้ มีผาแง่งตากแดด อันเป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวสามารถเห็นทัศนียภาพเมืองแห่งขุนเขาได้ถนัดตา
- จากผาแง่งตากแดด สามารถเดินลัดตัดตรงกลับลงมาพื้นล่างได้โดยเส้นทางเชื่อมระหว่างน้ำตก ซึ่งตั้งอยู่เรียงรายกันไป เช่น น้ำตกน้ำน้อย น้ำตกตาดพา น้ำตกถ้ำพระ จากนั้นเดินต่อไปก็จะถึงบ้านหัวนา ซึ่งไม่ไกลจากบ้านแสงภาที่เป็นจุดเริ่มต้นเท่าใดนัก
- น้ำตกคริ้ง
- อยู่ห่างจากอำเภอประมาณ 10 กิโลเมตร อยู่ติดกับถนนสายเหมืองแพร่-ร่มเกล้า บริเวณน้ำตกมีพืชพันธุ์นานาชนิดขึ้นริมฝั่งทำให้ดูมีความอุดมสมบูรณ์ มีก้อนหินเรียงกันเป็นชั้น ๆ ตอนล่างมีอ่างน้ำขนาดใหญ่ มีศาลาพักผ่อนสำหรับผู้มาเยือน
- น้ำตกตาดเหือง (น้ำตกไทย-ลาว)
- อยู่ห่างจากอำเภอประมาณ 25 กิโลเมตร บริเวณบ้านบ่อเหมืองน้อย เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่และสูงมาก เกิดจากลำน้ำเหือง บริเวณรอบ ๆ เป็นป่าทึบที่มีความอุดมสมบูรณ์ การเดินทาง ทางรถยนต์จากที่ว่าการอำเภอนาแห้วไปตามถนนสายนาแห้ว-ร่มเกล้า ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร และแยกขวาเข้าไปอีกประมาณ 13 กิโลเมตร เส้นทางตลอดสายเป็นทางลาดยาง จากนั้นเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 200 เมตร ก็จะถึงบริเวณน้ำตก
- น้ำตกธารสวรรค์
- อยู่หลังโรงเรียนนาแห้ววิทยา ซึ่งห่างจากอำเภอประมาณ 2 กิโลเมตร การเดินทาง โดยรถยนต์เข้าถึงบริเวณน้ำตกได้โดยสะดวก น้ำตกแห่งนี้มีความสูงประมาณ 15 เมตร บริเวณน้ำตกมีศาลาสำหรับพักผ่อน ตอนล่างมีก้อนหินน้อยใหญ่เรียงราย มีสาหร่ายและพันธุ์ไม้นานาชนิดขึ้นบริเวณริมฝั่งสองข้างทาง
- พระธาตุดินแทน
- พระธาตุดินแทนไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวที่มีความงามทางศิลปกรรม และก็ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินแต่อย่างใด หากแต่เป็นปูชนียสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้านนาแห้ว เป็นสถานที่ที่คนต่างถิ่น ควรเข้าไปเพื่อเรียนรู้และเพื่อเข้าใจความหมายของพระธาตุต่อวิถีชีวิตชาวบ้าน ซึ่งอยู่ในศีลธรรมกันอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้านแสงภา ตำบลแสงภา อันเป็นที่ตั้งของพระธาตุดินแทน
- คนเก่าในท้องถิ่นบ้านแสงภาคนหนึ่ง ได้ฟังบรรพบุรุษของตนเล่าว่า พระสงค์รูปหนึ่งที่เดินทางมาพำนักที่บ้านแสงภา เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้าน มากด้วยวัตรปฏิบัติอันประเสริฐ เมื่อท่านต้องการสร้างพระธาตุเป็นที่เคารพสักการะ โดยวางเงื่อนไขแก่ชาวบ้าน 3 ประการคือ ให้ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ครองตนอยู่ในศีลในวันพระและให้เลิกนับถือผี ซึ่งไม่ใช่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ชาวบ้านก็ยินดีทำตาม ดังนั้นจึงได้สร้างพระธาตุขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2313 ภายในพระธาตุซึ่งเป็นเนินหิน บรรจุปืนแก๊ป 9 กระบอก ปืนเพลิง 9 กระบอก ดาบ 9 เล่ม เสียม 9 เล่ม และของศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ลงไปด้วย ทุกวันเพ็ญ เดือน 12 ชาวบ้านที่ขึ้นไปนมัสการพระธาตุ ต่างพากันเก็บก้อนหินคนละหนึ่งก้อนติดมือไปเสริมพระธาตุด้วยเสมอ ต่อมาเมื่อหินหายาก จึงเปลี่ยนมาเป็นดินแทน ดังที่เห็นเป็นเนินดินในปัจจุบัน ทุกครั้งที่เข้าไปบริเวณพระธาตุดินแทน ห้ามใส่รองเท้าเหยียบย่ำขึ้นไป ชาวบ้านยังคงถือปฏิบัติตามนี้อย่างเคร่งครัด ประมาณข้างขึ้นเดือน 12 จะมีประเพณีนมัสการพระธาตุเป็นประจำทุกปี
- การเดินทางไปที่พระธาตุดินแทน ออกจากอำเภอนาแห้วไปตามถนนนาแห้ว-ร่มเกล้า ประมาณ 10 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตรก็จะถึงพระธาตุดินแทน
- น้ำตกช้างตก
- อยู่เหนือน้ำตกคริ้งขึ้นไปประมาณ 500 เมตร ในลำน้ำแพร่เช่นเดียวกับน้ำตกคริ้ง แต่มีความชันมากกว่า รถสามารถไปถึงได้
- น้ำตกผาผึ้งผาจอม
- อยู่ในเขตหมู่บ้านหนองสิม หมู่ 7 ตำบลนามาลา อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ห่างจากถนนหลวงไป ทางทิศใต้ของหมู่บ้านประมาณ 1 กิโลเมตร ห่างจากตัวอำเภอนาแห้ว ไปทางอำเภอด่านซ้าย ประมาณ 22 กิโลเมตร
- น้ำตกตาดหมี
- อยู่ในเขตบ้านเกลี้ยง หมู่ 5 ตำบลนาพึง อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย อยู่ห่างจากถนนหลวงสายนาแห้ว - ด่านซ้าย ประมาณ 5 กิโลเมตร อยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ระยะทางรถยนต์สามารถวิ่งไปได้ประมาณ 4 กิโลเมตร และเดินต่ออีกประมาณ 1 กิโลเมตร
- จุดชมวิวลาว
- สุดเขตแดนสยาม บ้านเหมืองแพร่ หมู่ 3 ตำบลนาแห้ว อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 2 กิโลเมตร และอยู่ทางทิศเหนือของหมู่บ้านเหมืองแพร่ ตรงจุดนี้จะเป็นจุดผ่อนปรนแนวชายแดน จะมีราษฎรสาธารณะรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และไทย ข้ามไปมาติดต่อค้าขายและเที่ยวกัน ทุกวันพระมีการเปิดจุดผ่อนปรนและวันธรรมดา จันทร์ - ศุกร์ ถ้าจะข้ามไปมาระหว่างประเทศ ต้องทำหนังสือหรือติดต่อเจ้าหน้าที่ที่ด่านตรวจของ ศ. อป.กอ.รมน. ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร และอาสารักษาดินแดน ทำหน้าที่ตรวจและทำการบันทึกหลักฐาน หรือตรวจค้นสิ่งของที่นำข้ามมาข้ามไประหว่างประเทศ เพื่อป้องกันการลักลอบนำสิ่งผิดกฎหมายซุกซ่อนมากับสิ่งของ และช่วงวันพระทั้ง 8 ค่ำ และ 15 ค่ำ ทางฝ่ายลาวจะมีสินค้าพื้นบ้าน หรือสินค้าที่เกี่ยวกับการเกษตร นำมาขายชายแดนตลอด และก็หาซื้อสินค้าจากไทยไปใช้เช่นเดียวกัน
- หินสี่ทิศ
- อยู่บนเทือกเขาภูตีนสวนทราย มีหินทรายสี่ก้อนโผล่ขึ้นกลางป่าดงดิบ เป็นเสมือนประตูเข้าสู่ภูตีนสวนทราย ชาวบ้านพื้นที่ใกล้เคียงจะขึ้นไปสักการะบูชาทุกๆ 3 ปี ซึ่งเป็นความเชื่อสืบต่อกันมา ชาวบ้านเรียกว่า "บุญภูใหญ่" หรือ "บุญสานเมี่ยง"มีกำหนดงานประมาณปลายเดือนมีนาคม หรือ ต้นเดือนเมษายน
- หินก่วยหล่อ
- อยู่บนภูตีนสวนทรายในเขตอุทยาน เป็นหินทรายรูปทรงคล้ายดอกเห็ดตูมยืนอยู่ต้นเดียวโผล่ขึ้นกลางป่าดงดิบ ความโตโดยรอบประมาณ 19 เมตร สูงประมาณ 4 เมตร รอบๆ เขตบริเวณหินมีร่องรอยคล้ายๆ รอยคนมาขูดเป็นร่องน้ำไว้ เป็นรอยที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
- เนิน 1408
- เป็นจุดชมวิวซึ่งหากขึ้นไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าจะสวยงามมาก บริเวณนี้เป็นที่ราบบนเขาสันยาว มองไปทางทิศตะวันออก และทิศตะวันออกเฉียงใต้จะเห็นบ้านบ่อเหมืองน้อย ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ติดเขตชายแดนไทยและเป็นหมู่บ้านกันชนแนวชายแดนที่อยู่ในพื้นที่อุทยาน และเขต อ.นาแห้ว และชมทิวทัศน์อันสวยงามของเขตป่าเต็ง รัง และบ้านแสงภา อ.นาแห้ว ซึ่งนับเป็นจุดใจกลางของอุทยานแห่งชาตินาแห้ว
- เนิน 1205
- เป็นจุดชมวิวอีกที่หนึ่งที่สวยงามมาก และอยู่ใกล้กว่าจุดชมวิว เนิน 1408 เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ชอบเดินทางไกล จะมองเห็นวิวบ้านห้วยน้ำผัก อยู่ด้านล่างซึ่งเป็นหมู่บ้านแนวกันชนเช่นกัน ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานนาแห้ว และเห็นวิวของภูสอยดาว และภูเวียงของประเทศลาว ส่วนด้านทิศเหนือจะเห็นทิศเหนือที่สลับซับซ้อน และ เนิน 428 ที่ทหารไทยเคยรบกันเพื่อแบ่งปันเขตแดนในปี พ.ศ. 2530 ที่ผ่านมา
- จะมีเทือกเขาน้อยใหญ่ทอดยาวสุดขอบตา มีลมพัดโชยอ่อนๆต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ขึ้นไปชมวิวให้หายเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา
- อนุสรณ์สถานลูกเสือชาวบ้าน
- ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ ตำบลเหล่ากอหก เดิมอนุสรณ์สถานอยู่ที่อาคารเรียนโรงเรียนบ้านเหล่ากอหก ปัจจุบันอาคารได้มีการชำรุดทรุดโทรมจึงมีการรื้อถอนปัจจุบันหลักฐานที่เกี่ยวข้องที่มีการจัดตั้งลูกเสือทางโรงเรียน และองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นผู้ดำเนินการจัดเก็บ เช่นรูปเกี่ยวกับการฝึก การแจกใบประกาศ เป็นต้น อนุสรณ์สถานลูกเสือชาวบ้าน ตำบลเหล่ากอหก เป็นถิ่นกำเนิดลูกเสือไทยรุ่นแรก โดย พล.ต.ต. สมควร หริกุล ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดน ( ตชด.) เขต 4 และวิทยากรจากเขตการศึกษา 9 ร่วมกันตั้งหลักเกณฑ์เบื้องต้น ในการคัดเลือกหมู่บ้านเพื่อทดลองฝึกอบรม "ลูกเสือชาวบ้าน" โดยกำหนดว่าจะต้องเป็นหมู่บ้านที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์แทรกซึมเข้ามามาก ทั้งนี้ต้องการที่จะต่อต้านการโฆษณาชวนเชื่อของฝ่ายนั้น เขตอำเภอนาแห้วอยู่ในพื้นที่เป้าหมายอันดับแรก เพราะสมัยนั้นจัดว่าเป็นพื้นที่สีชมพู เป็นดินแดนกันดารมีภูเขาเป็นเสมือนกำแพงกางกั้นอำนาจจากส่วนกลางได้เป็นอย่างดี
- การฝึกอบรมลูกเสือชาวบ้านจึงได้จัดขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศ ที่บ้านเหล่ากอหก ตำบลแสงภา เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ปี พ.ศ. 2514 และลูกเสือชาวบ้านก็ได้ถือเอาวันนั้นเป็นวันก่อกำเนิดของลูกเสือชาวบ้าน
- ตารางแสดงลักษณะเด่นของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอนาแห้ว
- วัดโพธิ์ชัย
- สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของอำเภอวังสะพุง
- พระเจดีย์วัดป่าสัมมานุสรณ์
- อยู่บ้านโคกมน ตำบลผาน้อย ห่างจากที่ว่าการอำเภอวังสะพุงไปตามถนนลาดยางสายอำเภอวังสะพุง-อุดรธานี ถึงสี่แยกโรงเรียนบ้านวังไห แยกซ้ายไปตามถนน รพช. อีก 8 กิโลเมตร พระเจดีย์วัดป่าสัมมานุสรณ์ สร้างตามแบบของกรมศิลปากรขนาดฐานองค์พระเจดีย์กว้างยาวด้านละ 25 เมตร สูง 33 เมตร ก่อสร้างด้วยโครงเหล็ก ก่ออิฐถือปูนและเคลือบด้วยกระเบื้องอย่างดี วัดป่าสัมมานุสรณ์นี้เป็นวัดป่าวิปัสสนากัมมัฏฐาน สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
- ศูนย์ศิลป์สิรินธร
- ศูนย์ศิลป์สิรินธร หรือศูนย์ศิลป์ศรีสงคราม ตั้งอยู่ ณ บริเวณโรงเรียนศรีสงครามวิทยา อำเภอวังสะพุง ใช้เส้นทาง 201 แล้วเลี้ยวซ้ายไปทางกิ่ง อ.เอราวัณ อีกประมาณ 1 กิโลเมตร โรงเรียนตั้งอยู่ทางขวามือ จัดตั้งขึ้นเป็นศูนย์กลางงานศิลปะของเด็กและเยาวชน ด้วยความคิดริเริ่มของครูสังคม ทองมี ผู้สอนศิลปะแก่นักเรียนโรงเรียนศรีสงครามวิทยา จนเป็นที่ยอมรับของชาวไทยและต่างชาติ ดังจะเห็นได้จากผลงานเด็กๆ ที่สามารถคว้ารางวัลระดับชาติ ระดับโลก มาหลายปีติดต่อกัน
- อาคารศูนย์ฯ อยู่ในพื้นที่ 6 ไร่ มีทั้งหมด 4 หลัง แบ่งเป็นห้องต่างๆ เช่น ห้องแสดงประวัตินักเรียนที่ประสบความสำเร็จ เคยได้รับรางวัลระดับโลก ซึ่งอดีตล้วนแต่เป็นผู้เริ่มจากพื้นฐานที่ด้อยกว่าคนอื่นและแสดงงานที่เป็นต้นฉบับร่างของศิลปินสาขาต่างๆ เพื่อเป็นกำลังใจและเป็นแนวทางสำหรับผู้เริ่มต้น นอกจากนี้ยังมีห้องจัดแสดงงานนิทรรศการหมุนเวียน เพื่อเปิดโอกาสให้แสดงผลงานทางศิลปะ รอบอาคารศูนย์ฯ จัดเป็นสวนประติมากรรม โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยศิลปากร
- ศูนย์ศิลป์สิรินธรเปิดให้เข้าชมและศึกษาในเวลาราชการทุกวัน และในวันหยุดราชกรอาจมีการจัดกิจกรรมพิเศษขึ้นด้วย
- พระพุทธบาทถ้ำผาบิ้ง
- อยู่บริเวณวัดถ้ำผาบิ้ง บ้านผาบิ้ง ตำบลผาบิ้ง พระพุทธบาทถ้ำภูผาบิ้งนับเป็นรอยพระพุทธบาทขนาดใหญ่พอสมควร กว้าง 2 ฟุต ยาว 3 ฟุต และแปลกกว่าที่เคยเห็นมา กล่าวคือ แทนที่จะประดิษฐานอยู่ที่พื้น กลับประทับอยู่ที่ผนังด้านบนปากถ้ำเหนือศีรษะ เจ้าอาวาสคนปัจจุบันบอกว่า หลวงปู่มั่งเคยมาจำพรรษาอยู่ที่แห่งนี้ 2 ครั้ง คือในปี พ.ศ.2454 และ พ.ศ.2461 และเป็นผู้บอกว่านั่นคือพระพุทธบาท กรมศิลปากรจดทะเบียนเป็นโบราณสถานพร้อมกับพระธาตุศรีสองรัก เมื่อ พ.ศ. 2498 การเดินทาง ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 201 (อำเภอเมือง-วังสะพุง) แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปอีก 7 กิโลเมตร จะเห็นวัดอยู่ทางขวามือ ห่างจากอำเภอวังสะพุง 9 กิโลเมตร
- ที่วัดผาบิ้งนี้ มีค้างคาวแม่ไก่ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาค้างคาวทั่วไป เกาะอยู่ตามต้นไม้ต่างๆ แต่ไม่ชอบอยู่ในถ้ำ
- เสมาหินทรายที่บ้านปากแบ่งและบ้านนาหลัก
- บ้านปากแบ่งและบ้านนาหลัก ตำบลวังสะพุงอยู่ห่างกัน 4 กิโลเมตร โดยบ้านนาหลัก ตั้งอยู่ทางทิศเหนือและบ้านปากแบ่งอยู่ทางทิศใต้ ทั้งสองแห่งเป็นหมู่บ้านเก่าแก่มานาน ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเลย ใบเสมาบ้านปากแบ่งพบครั้งแรกเมื่อปลายปี พ.ศ. 2508 ลักษณะใบเสมามีลวดลายสลักรูปบัวบนฐานแบบที่มีรูปพระสถูปเจดีย์ประทับอยู่ตรงกลางแผ่นเสมา โดยส่วนบนมีลักษณะรูปกรวยคล้ายกับยอดเจดีย์ที่พบในดินแดนอีสานทั่วไป ส่วนที่บ้านนาหลัก เป็นเสมาหินปักคู่สองหลัก แบบที่มีคู่สลักนูนขึ้นไปจากยอดเสมา เป็นรูปคล้าย ๆ กับสถูปเท่านั้นโดยไม่มีลวดลายใด ๆ และปี พ.ศ. 2519 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขอนแก่นได้นำไปเก็บรักษาไว้ 1 หลัก จึงเหลือไว้ในสถานที่เดิมเพียง 1 หลักเท่านั้น
- กลุ่มเสมาหินที่พบในภาคอีสานแสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมในภูมิภาคตั้งแต่โบราณ เสมาหินที่พบส่วนมากเป็นศิลปะวัตถุแบบทวาราวดีและลพบุรี
- การเดินทาง โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 2016 เลยจากตัวอำเภอวังสะพุงไปประมาณ 4 กิโลเมตร วัดจะอยู่ทางด้านขวา
- พระธาตุกุดเรือคำ
- พระธาตุกุดเรือคำ เป็นพระธาตุก่ออิฐฉาบปูนเรียบๆ ไม่มีลวดลายวิจิตรประดับ ไม่ปรากฏประวัติการสร้างแน่ชัด แต่ก็เป็นปูชนียสถานที่ชาวบ้านทรายขาว อำเภอวังสะพุง เคารพนับถือกันมาแต่โบราณกาล และมีตำนานว่า มีเรือทองคำปราศจากฝีพายลำหนึ่ง นำพระอัฐิของเจ้ามหาชีวิตเมืองหลวงพระบางล่องมาจนถึงเมืองเซไล แล้วก็เกิดอุบัติเหตุวิ่งเข้าชนฝั่งอย่างแรงจนเรือไปทะลุที่วัดใหม่ซึ่งกำลังสร้างอยู่ เจ้าฟ้าร่มขาวเกรงว่าส่วนของเรือที่หักซึ่งเป็นทองนั้นจะสูญหาย จึงได้สร้างสถูปครอบไว้ ส่วนอัฐิของเจ้ามหาชีวิตนั้น ได้นำไปเก็บรวมไว้กับอัฐิของพระบิดาที่หอโองการ สถูปสร้างเสร็จเมื่อราว พ.ศ. 2000 เรียกว่า "พระธาตุกุดเรือคำ" ส่วนวัดใหม่นั้นมีชื่อว่า "วัดกู่คำ" ต่อมา
- พระธาตุกุดเรือคำตั้งอยู่บริเวณวัดกู่คำริมฝั่งแม่น้ำเลย ออกจากจังหวัดเลยไปตามเส้นทางเลย-วังสะพุงประมาณ 21 กิโลเมตร และแยกไปตามเส้นทางวังสะพุง-ทรายขาว อีกประมาณ 12 กิโลเมตร เมื่อถึงบ้านทรายขาวแล้วเลี้ยวซ้ายไปอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะถึงบริเวณที่ตั้งพระธาตุกุดเรือคำ
- ถ้ำผาพุง
- หมู่ 4 บ้านแก่งหิน ตำบลเขาหลวง ห่างจากจากอำเภอ 13 กิโลเมตร
- โครงการเทิดพระเกียรติ (ผาบ่าว - ผาสาว)
- หมู่ 5 บ้านนาซำแซง ตำบลเขาหลวง ห่างจากจังหวัด 34 กิโลเมตร จากอำเภอ 14 กิโลเมตร
- น้ำตกน้ำทบ
- หมู่ 11 บ้านน้ำค้อ ตำบลทรายขาว ห่างจากจังหวัด 56 กิโลเมตร จากอำเภอ 34 กิโลเมตร
- น้ำตกน้ำจันทร์
- หมู่ 4 บ้านน้ำจันทร์ ตำบลหนองงิ้ว ห่างจากจังหวัด 47 กิโลเมตร จากอำเภอ 25 กิโลเมตร
- วัดถ้ำผาหมากฮ้อ
- หมู่ 8 บ้านดงน้อย ตำบลผาน้อย ห่างจากจังหวัด 30 กิโลเมตร จากอำเภอ 8 กิโลเมตร
- ตาราง แสดงลักษณะเด่นของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอวังสะพุง
- พระเจดีย์วัดป่าสัมมานุสรณ์
- สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของอำเภอภูกระดึง
- อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
- เมื่อครั้งที่ผู้คนบางส่วนในชุมชนรอบข้างดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์เป็นอาหารและภูกระดึงเป็นพื้นที่ป่าที่สมบูรณ์ เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าที่หายากหลากพันธุ์นายพรานผู้หนึ่ง ได้ออกตามล่ากระทิง ขึ้นไปถึงบริเวณที่ราบบนยอดภูกระดึงโดยบังเอิญซึ่งเรียกว่าหลังแปในปัจจุบัน อันเต็มไปด้วยความงดงามทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นป่าสนผืนใหญ่ทุ่งหญ้า มวลดอกไม้และสิงสาราสัตว์นานาชนิด ที่ยังไม่รู้จักความโหดร้ายของนายพรานเลยและนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ภูกระดึงเป็นที่รู้จักของผู้คน คำว่าภูกระดึง หรือ ภูกะดึง ซึ่งแผลงมาจากคำว่าภูกระดิ่งนั้น เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกตามเสียงของกระดิ่ง ซึ่งมีคำเล่าขานว่า ได้ยินเสียงระฆังดังอยู่บนเทือกเขาแห่งนี้ เชื่อว่าเป็นเสียงระฆังของพระอินทร์ ....... การสำรวจจัดตั้งอุทยานแห่งชาติ ภูกระดึงเป็นหนึ่งใน 14 ผืนป่าและเป็นอุทยานแห่งชาติแห่งที่ 2 ของประเทศ ซึ่งคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น มีมติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2502 และกรมป่าไม้ได้ประกาศ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติในพระราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 79 ตอนที่ 104ลงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2505
- ภูมิประเทศภูกระดึง เป็นภูเขาหินทรายมีพื้นที่ราบกว้างสลับกับ เนินเตี้ยๆ มียอดสูงสุดคือ ภูกุ่มข้าวสูงจากระดับน้ำทะเล ปานกลางประมาณ 1,350 เมตร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของลำน้ำพอง ที่ไหลลงไปยังเขื่อนอุบลรัตน์ และเขื่อนหนองหงายของ จังหวัดขอนแก่น ยอดภูกระดึงประกอบด้วยป่าสนสลับป่าก่อ และทุ่งหญ้า มีพันธุ์ไม้ดอก ไม้ใบขึ้นอยู่ทั่วไปตามบริเวณน้ำตก ลำธาร และสวนหิน
- ภูมิศาสตร์ภูกระดึง มีตำแหน่งที่ตั้งทาง ภูมิศาสตร์ละติจูด ( เส้นรุ้ง ) 16.56 องศาเหนือ และ ลองติจูด (เส้นแวง) 110.33 องศาตะวันออก
- ภูมิอากาศบนภูกระดึง อากาศเย็นสบายตลอดปี เนื่องจากมี สภาพเป็นภูเขาสูง ในฤดูหนาวอากาศจะเย็นมาก บางครั้งอุณหภูมิจะต่ำลงถึง 0 องศาเซลเซียส อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 15 องศาเซลเซียส อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุด 5 องศาเซลเซียส อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุด 26 องศาเซลเซียส ช่วงฤดูฝนอากาศ แปรปรวนบ่อยครั้งมีหมอกและเมฆฝนลอยต่ำชุก ซึ่งบางครั้งทำให้เกิดผลกระทบต่อธรรมชาติปริมาณน้ำฝนโดยเฉลี่ยเท่ากับ 1,824 มิลลิเมตรต่อปี ซึ่งมีน้ำฝนอยู่ระหว่าง เดือนเมษายนถึง ตุลาคม ความเร็วลม ขึ้นอยู่กับฤดูกาล และตำแหน่งสถานที่ เช่น หน้าผาต่างๆ จะมีแรงปะทะลมสูงกว่า บริเวณพื้นที่ตรงกลางภู ทิศทางลมไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับฤดูกาลและสถานที่
- เวลาที่ทางอุทยานฯ เปิดให้นักท่องเที่ยว เริ่มต้นเดินขึ้น ภูกระดึงได้คือ 8.00 น. นักท่องเที่ยวที่ต้องการฝาก สัมภาระให้ลูกหาบช่วยหาบขึ้นไปบนภูก็สามารถ ติดต่อที่ศาลารับสัมภาระ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว สัมภาระที่คิดว่าไม่ต้องใช้ระหว่างการเดินเท้าขึ้นภูให้ฝากไปกับลูกหาบ ส่วนของจำเป็นต้องใช้ ควรแยก และพกติดตัวไปต่างหาก เมื่อแยกของออกแล้วให้นำ ของที่จะฝากไปให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อชั่งน้ำหนัก เจ้าหน้าที่จะจัดการนำสัมภาระขึ้นชั่ง พร้อมกับติดบัตรเข้ากับกระเป๋า บัตรนี้จะระบุน้ำหนัก กระเป๋า และ ชื่อลูกหาบ ที่จะหาบขึ้นไปโดยเจ้าหน้าที่ จะมอบ ต้นขั้วให้กับนักท่องเที่ยวเก็บไว้ติดต่อรับของเมื่อถึงที่ทำการฯ บนภู พร้อมกับชำระเงินค่าหาบใน อัตรา กิโลกรัมละ10 บาท โดยทั่วไป ลูกหาบจะถามนักท่องเที่ยวถึงวันเดินทางกลับเพื่อจะได้นัดวันมารับสัมภาระขาลงได้ถูก โดยลูกหาบจะมารับสัมภาระตามที่นัดและหาบลงไปเมื่อไปถึงเชิงภูแล้ว จะทำการชั่งน้ำหนัก และคิดค่า บริการในอัตราเดียวกับขาขึ้น ส่วนนักท่องเที่ยวที่ ไม่มีกำหนดกลับแน่นอน ก่อนวันกลับสัก 1วันก็ติดต่อเจ้าหน้าที่ ที่ทำการบนภูให้จัดหา และนัดหมาย ลูกหาบมารับสัมภาระได้
- อาหารบนภูกระดึง การเดินทางขึ้นไปเที่ยวบนภูกระดึง หากต้องการบรรยากาศแบบ แค้มป์ปิ้งสุดๆ นักท่องเที่ยว ก็อาจจะขน อุปกรณ์การประกอบอาหารรวมทั้งเสบียง ไปทำเองทานกันได้ แต่หากมานึกถึงความวุ่นวายที่จะต้องขนวัตถุดิบและเวลาที่จะต้องเสีย ไปในการทำอาหารแต่ละครั้ง การใช้บริการจากร้านอาหารบนภูดูจะเป็น ทางเลือกที่ สะดวกกว่า บริเวณที่ทำการฯ บนภูกระดึงมีร้านอาหาร กว่า 30 ร้านให้เลือก ส่วนบริเวณอื่นๆ เช่น หลังแปร ผาหมากดูด ผาหล่มสัก ฯลฯ ก็มีร้านอาหารไว้บริการ ยังไง ถ้าจะเลือก ก็ควรเลือกร้านที่สะอาด และติดราคา แสดงเอาไว้อย่างชัดเจน ไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
- เตรียมตัวไปเที่ยวภูภระดึง การเดินท่องเที่ยวบนภูกระดึง นักท่องเที่ยวควรมีเวลา อย่างน้อยที่สุด 3 วัน โดยมีกำหนดการดังนี้ เช้าวันแรก ออกเดินทางจากเชิงภู ถึงยอดภูช่วงบ่ายๆ เช้าวันที่สอง เดินเที่ยวบนภูให้ทั่ว เช้าวันที่สาม เดินลง บ่ายๆ ถึงเชิงภู กลับบ้าน แต่หากมีเวลามากกว่านั้น ก็แล้วแต่ว่าจะจัดเส้นทาง อย่างไร ให้เที่ยวได้ทั่วถึงและประหยัดเวลา เมื่อกำหนดระยะเวลาเดินทางได้แล้ว ก็ถึงขั้นตอนของ การเตรียมของใช้ที่จำเป็นสำหรับ การเดินทาง เสื้อผ้าจัดให้พอกับจำนวนวันแต่ต้องไม้ลืมเสื้อกันหนาว และอุปกรณ์กันความเย็น อื่นๆ ที่คิดว่าจำเป็น เพราะ อุณหภูมิตอนกลางคืนบนภูกระดึงในฤดูหนาวจะ อาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น ไม่ค่อยเกิน 10 ํC บางทีก็เฉียด 0 ํC อุปกรณ์กันหนาว จึงต้องเตรียมให้พร้อมส่วนผ้าห่มกันหนาวเวลานอน สามารถเช่าได้จากร้านค้า บนภู แต่ถ้ามีถุงนอนอยู่แล้วก็เอาไปด้วยดีกว่าจะได้ไม่ ต้องไปหาเช่าผ้าห่มให้วุ่นวาย เมื่อเตรียมเรื่องเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มได้แล้ว รายละเอียด ปลีกย่อยที่จำเป็นบ้างไม่จำเป็นบ้าง ต่อการเดินเที่ยวภูกระดึง ก็มีเช่น ผู้เดินทาง ต้องมีความพร้อมสำหรับการเดินเท้า พอสมควร โดยเฉพาะวันเดินขึ้น และลง บางคน อาจมี อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ ควรเตรียมยาบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปด้วย เพื่อลดอาการเหล่านี้ รองเท้ากัดเป็นเหตุการณ์ที่พบได้บ่อย นักท่องเที่ยว ควรมีความเคยชิน กับรองเท้าพอสมควร รองเท้าต้องเป็นคู่ที่ใส่แล้วสบาย ควรมีรองเท้าแตะติดไปด้วย สำหรับใส่เดินในระยะใกล้ๆ เพื่อพักเท้า ระหว่างการเดินเท้า ไม่ว่าจะเป็นขึ้นลงภูหรือเดินบนภู เส้นทางบางช่วงไม่มี น้ำดื่มจำหน่าย กระติกน้ำจึงเป็นสิ่งที่ควรมีติดตัวไว้ หากไม่มีขวดน้ำพลาสติก ก็สามารถใช้แทนได้ และเมื่อดื่มหมด ควรนำกลับมาทิ้งในถึงขยะ ไม่ควร ขว้างทิ้งเข้าไปในป่า เพราะขยะ พลาสติกใช้เวลาหลายร้อยปี กว่าธรรมชาติ จะย่อยสลาย ได้หมด
- อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการเดินทางไปเที่ยว ในทุกๆ ที่ คือยารักษาโรคซึ่งนอกเหนือจากยาประจำตัวของแต่ ล่ะคน แล้วยาที่ขาดไม่ได้เลยคือ ยาแก้ปวดหัว ยาแก้ไข้ หวัด ยาแก้ท้องเสีย ยาหม่อง ยาดม พลาสเตอร์ปิดแผล ควรนำติดตัวไปด้วย - ในช่วงเปิดภูใหม่ๆ (ต้นเดือนตุลาคม) สายฝน และความชุ่มชื้นจะยังไม่จางหาย นักท่องเที่ยวที่ขึ้นภูช่วง ฤดูนี้มักเจอกับทากดูดเลือด วิธีป้องกันทากมีหลายแบบ เช่นใช้ถุงกันทาก เอา ก.ย.15 ทา ฯลฯ แล้วแต่ว่าจะเลือก วิธีไหน ไฟฉายเป็นอุปกรณ์ที่ค่อนข้างจำเป็นสำหรับการเที่ยวภูกระดึง เช่นอาจต้องใช้ส่องทางเดินไปชมพระอาทิตย์ ขึ้น-ตก หรือส่องทางเวลาเดินเท้าตอนค่ำ ซึ่งทาง อุทยานฯ เลิกปั่นไฟ แล้ว จัดสัมภาระเรียบร้อย ก็ออกเดินทางสู่ภูกระดึงได้ มนต์เสน่ห์แห่งที่ราบรูปใบบอนกำลังรอคุณอยู่.....
- ผาหล่มสัก เป็นหน้าผาที่ไกลที่สุดคือ 9 กม. จุดเด่นคือ ผลจากที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ ชะง่อนหินก้อนหนึ่งให้ยื่นออกไปจากหน้าผา ไม่เท่านั้นยังมีต้นสนต้นหนึ่งไปขึ้นติด ชะง่อนหินและยื่นกิ่งใหญ่ออกไป ในอากาศขนานกับก้อนหิน ดูช่างลงตัวและงดงามยิ่งนัก พระอาทิตย์ก็เป็นใจมาตกใกล้ๆ ชะง่อนผาดวงกลมโตเป็นภาพที่งดงามมาก โดยเฉพาะ ฤดูหนาวที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส ผาหล่มสักเป็นหน้าผาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด สำหรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะยามเย็น ช่วงที่อาทิตย์จะลับขอบฟ้า เมื่อยืนที่ผาหล่มสักจะสามารถมองเห็นเทือกเขาสลับซับซ้อนทางตะวันตก ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดเพชรบูรณ์.......
- ผานกแอ่น ผานกแอ่นเป็นหน้าผาเล็กๆ มีทิวสนขึ้นริมหน้าผา มาถึงปุ๊บก็ยืนชม พระอาทิตย์ที่ค่อย ๆโผล่พ้นตีนฟ้าขึ้นมาทีละนิดๆเมื่อแสงสีทองเริ่มสว่างขึ้น จะมองเห็นหมอกทะเลสีขาวโพลนที่อยู่เต็มหุบ โดยเฉพาะในฤดูหนาวจะงดงามมาก สายหน่อยทะเลหมอกเริ่มเคลื่อนตัวจางหายไป จะเห็นผานกเค้าปรากฎในที่ราบ และเห็นทิวทัศน์ข้างล่างงดงาม ......
- ผาหมากดูก เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่ใกล้ที่สุด จากจุดพักประมาณ 2 กม.สำหรับคนที่เดินไกลไม่ไหว อาจจะชมพระอาทิตย์ตก ที่นี้ก็ได้ บริเวณผาหมากดูกเป็นลานหินกว้าง มีก้อนหินใหญ่ๆ วางเรียงรายกันอยู่ ริมหน้าผามีร่องลึกเป็นรอยแยกคล้ายลานหินแตก เหมาะสำหรับนั่งชมวิวทิวทัศน์ และรับลมเย็น ๆอากาศบริสุทธิ์ ในวันที่อากาศปลอดโปร่ง จากผาหมากดูกจะมองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล สามารถมองเห็นภูผาจิตรอยู่เบื้องหน้า ยอดภูผาจิตรเป็นยอดเขาสูงสุดของของอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวในจังหวัดเพชรบูรณ์ ฤดูหนาวเป็นช่วงตะวันอ้อมข้าว ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าบริเวณเหลี่ยมเขา ฤดูร้อนดวงอาทิตย์จะตกลงในหมู่ทิวสนบนแผ่นดิน สองบรรยากาศที่งดงามในฤดูที่ต่างกัน.........
- ผาจำศีล เป็นหน้าผาสูงประมาณ 50-60 เมตรสามารถเดินลงไปข้างล่าง ซึ่งจะพบลานหินกว้างกว่าสิบเมตรยกสูงเหมือนอาสนะที่พระสงฆ์นั่ง เมื่อแหงนหน้ามองขึ้น ข้างบนก็จะเห็นแผ่นหินยื่นออกมาปกคลุมเหมือนหลังคาด้วยบรรยากาศเช่นนี้จึงได้ชื่อว่าผาจำศีล ซึ่งในความเป็นจริงที่นี่ จะมีพระภิกษุผู้แสวงหาความสงบมาธุดงค์ปฎิบัติธรรมอยู่บ่อยครั้ง เส้นทางเดินยังมีกลุ่มกุหลาบขาวมากด้วย และหม้อข้าวแกงลิงเต็มสองข้างทางไปหมด.....
- ผานาน้อย สาเหตุที่ได้ชื่อว่าผานาน้อยก็เพราะ บริเวณผานี้อยู่ตรงกับหมู่บ้านข้างล่าง ที่มีชื่อว่าหมู่บ้านนาน้อย ผานี้เหมาะสำหรับพักผ่อนชมวิวโดยตัวหน้าผาเองแล้วเป็นหน้าผา ลานหินไม่กว้างนัก บริเวณผานาน้อยนี้หากไม่เดินเลียบหน้าผาต่อไปก็จะมีทางแยกไปสระแก้ว หรือสระอโนดาดได้.......
- ผาเหยียบเมฆ เป็นผาขนาดกว้างใหญ่พอสมควร มีลักษณะคล้ายอยู่ใกล้เมฆปานว่าจะเหยียบเมฆได้ ผาเหยียบเมฆนี้เป็นอีกจุดหนึ่งที่สามารถชมพระอาทิตย์ตกได้งดงาม และเป็นจุดชมทัศนียภาพได้งดงามมากแห่งหนึ่ง........
- ผาแดง เป็นหน้าผาเล็กๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไม่แวะมาที่ผานี้มักจะเดินต่อไปเลย เพราะอีก 2.5 กม. ก็จะถึงสุดยอดของจุดชมพระอาทิตย์ตกที่งดงามที่สุด ตลอดเส้นทางเดินช่วงนี้จะเป็นทางทรายสีขาวสลับกับสวนหินที่มีพืชแปลกตามากมาย รวมทั้งหม้อแกงลิงด้วย
- น้ำตกวังกวาง ตกลงมาจากหน้าผา 5 เมตร ลักษณะค่อนข้างตัดขวางลำธาร เมื่อน้ำไหลลงจะตกลง สู่วังน้ำเบื้องล่าง สายน้ำนี้ไหลมาจากลำธารวังกวางที่เกิดจากที่ราบกว้างใหญ่
- มีน้ำไหลตลอดปีบริเวณหน้าสำนักงานและที่พัก น้ำตกแห่งนี้ได้รับสมญานามว่าเป็นเสมือนวังของกวาง เพราะบริเวณตัวน้ำตกด้านล่างของน้ำตกมีโพรงลึกเข้าไปเหมือนถ้ำและมักมีกวางมาอาศัยอยู่จึงเรียกว่าน้ำตกวังกวาง ลำธารวังกวางนี้ไหลไปทางทิศเหนือแล้ววกกลับมามีน้ำตกอีกแห่ง อยู่ห่างออกไปคือน้ำตกเพ็ญพบใหม่ ......
- น้ำตกขุนพอง ภายในเขตป่าปิดของอุทยานแห่งชาติภูกระดึง มีน้ำตกสวยงามมากมายซ่อนตัวอยู่ "น้ำตกขุนพอง" ก็เป็นหนึ่ง ที่สร้างเสน่ห์ให้กับภูกระดึงอย่างมาก เรียกได้ว่าใครที่มาภูกระดึงแล้วไม่ควรพลาดการยลโฉม "น้ำตกขุนพอง"ความงามและสายน้ำบนภูกระดึง
- น้ำตกเพ็ญพบใหม่ เป็นน้ำตกที่งดงามแห่งหนึ่งของภูกระดึง สายน้ำนี้เกิดจากการรวมตัวของลำธารสวรรค์และลำธารวังกวาง ตอนบนของน้ำตกเป็นลานหินกว้างใหญ่ที่มีกุมภลักษณ์ (หลุมรูปหม้อ) อยู่มากมาย น้ำตกเพ็ญพบ เป็นน้ำตกที่ไม่สูงมาก แต่มีแนวหน้าผากว้างตัวน้ำตกอยู่บริเวณปากทางเข้าป่าปิดด้านน้ำตกผาน้ำผ่า ในฤดูฝนสายน้ำนี้จะไหลแรงและเชี่ยวกราก ริมน้ำตกมีพรรณไม้มากชนิดสลับกับอีกฟากหนึ่งเป็นป่าไผ่ขึ้นหนาแน่น.......
- น้ำตกเพ็ญพบ เป็นน้ำตกใหญ่แห่งหนึ่งบนภูกระดึง น้ำตกนี้เกิดจากลำธารสองสายไหลมารวมกัน นั่นคือลำธารเพ็ญพบและลำธารถ้ำใหญ่ น้ำตกเพ็ญพบมีลำธารกว้างก็จริงแต่ตัวน้ำตกไม่สูงมากนัก อีกทั้งน้ำก็ไม่ลึกจึงเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวที่ใช้เป็นที่เล่นน้ำและพักผ่อนกัน
- น้ำตกโผนพบ สายน้ำที่ก่อเกิดเป็นน้ำตกโผนพบนี้มาจากลำธารวังกวางเช่นเดียวกับน้ำตกเพ็ญพบใหม่ ครั้งหนึ่งนักชกแชมป์โลกคนแรกของไทย โผน กิ่งเพชร ได้ขึ้นมาฟิตซ้อมร่างกายบนภูกระดึง เพื่อปรับสภาพร่างกายให้คุ้นเคยกับอากาศเย็นก่อนจะไปชกมวยที่ต่างประเทศ และระหว่างทางวิ่งออกกำลังกายได้ไปพบน้ำตกแห่งนี้ จึงเป็นที่มาของน้ำตกโผนพบ ลักษณะของน้ำตกไหลตกลงมาเป็นชั้นๆ ดูงดงามมาก......
- น้ำตกถ้ำใหญ่ จัดเป็นน้ำตกใหญ่แห่งหนึ่งไหลมาจากลำธารสวรรค์ รายล้อมไปด้วยป่าดิบลักษณะของน้ำตกคล้ายกับถ้ำมีผาหินยื่นออกไปใต้ผาหิน มีโพรงถ้ำลึกเข้าไปบริเวณใต้ผาสามารถเข้าไปยืนดูสายน้ำ เสน่ห์อย่างหนึ่งของน้ำตกแห่งนี้ คือยามต้นฤดูหนาวจะมีใบเมเปิ้ลสีแดงร่วงหล่นเกลื่อน เป็นสีแดงที่ตัดกับสีเขียวของพืชจำพวกมอสและเฟิร์น
- ป่าปิด เส้นทางท่องเที่ยวบนภูกระดึงนั้น สามารถ แบ่งออก ได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือส่วนของป่าเปิด และ ป่าปิด "ป่าเปิด" คือเส้นทางเดินเท้าที่เปิดให้นักท่องเที่ยว ทุกคนซึ่งมาเที่ยวภูกระดึง สามารถ เดินเที่ยวได้โดย อิสระ อยากไปตรงไหนก็ไป ไม่ต้องใช้เจ้าหน้าที่ นำทาง มีป้ายบอกทางไปสู่สถานที่ท่องเที่ยวในจุด ต่างๆ อย่างชัดเจน เส้นทางเที่ยวในเขตป่าเปิด ซึ่ง จะแนะนำ ทราบหรือไม่ ส่วนป่าเปิดที่ทางอุทยานฯ เปิดให้ท่องเที่ยวนั้นเป็นพื้นที่เพียงประมาณ 30 % ของ บนยอดภูเท่านั้น ส่วนอีก 70 % ที่เหลือคือเขตของ ป่าปิด อันเป็นเขตป่าที่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยว เดินเข้าไปเที่ยว โดย เสรี หากไม่มีเจ้านำเข้าไป เพราะ ธรรมชาติในเขตป่าปิดนั้นยังบริสุทธิ์ อยู่มาก มีสัตว์ป่า ชุกชุม
- ซึ่งหากปล่อยให้นักท่องเที่ยวเดินเข้า ไปเที่ยวโดยไม่มีเจ้าหน้าทำควบคุมแล้ว ธรรมชาติข้างในอาจจะเสียหายอย่างหนักได้ การเข้าไปเที่ยวในเขตป่าปิดนักท่องเที่ยวจะต้องทำเรื่องขออนุญาต พร้อมขอเจ้าหน้าที่นำทางเข้าป่าปิด ที่ที่ทำการอุทยานฯ ก่อนทุกครั้ง เพราะเส้นทางในป่าปิดบางช่วงรกมาก ไม่มีป้ายบอกทาง บางช่วงเป็น หญ้าคาสูงท่วมหัวเส้นทางไม่ชัด มีทางแยกมากมาย หากเดินทิ้งระยะเพียงนิดเดียว ก็อาจพลัดหลงกันได้ และเส้นทางหลายช่วง ตัดผ่านไปตามด่านสัตว์ ทางแยกมากมายโอกาส หลงทางมีเยอะพอๆ กับการเจอ สัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง เดินสวนมาตามด่านได้ การมีเจ้าหน้าที่นำทาง จึงจำเป็นอย่างยิ่ง และเส้นทางเดิน เที่ยวในป่าปิดนั้น จะรกแทบเดินไม่ได้ในช่วงฤดูฝนดังนั้นการเดินเข้าป่าปิดจึงสามารถทำได้เฉพาะใน ช่วงฤดูแล้ง ตั้งแต่ปลายเดือน พฤศจิกายนเรื่อยไป ถึง กลางเดือนมิถุนายน จึงจะเป็นช่วงที่เหมาะสม เมื่อนักท่องเที่ยวแสดงความประสงค์ จะเดินเท้าเข้าไปเที่ยวในเขตป่าปิดจะต้อง แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบว่าจะเดินเข้าไปในส่วนใด เพราะเส้นทางเดินในป่าปิด แบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ และแต่ละส่วนก็ เดินไปเช้ากลับค่ำทั้งสิ้น หรือหากจะเที่ยวให้ทั่ว ต้องค้างแรมในป่าอย่างน้อย 1 คืน ซึ่งนอกจากจะต้อง แจ้งล่วงหน้าว่าจะค้างแรมในป่าแล้วยังต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ สำหรับการพักแรมไปด้วย
- เส้นทางท่องเที่ยวป่าปิด............ภูกระดึงมีเส้นทางท่องเที่ยวที่ถูกกำหนดเป็นเส้นทางไว้อย่างชัดเจนเป็นเส้นทาง ที่เชื่อมกันหมด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวอย่างเสรี คือ เขตที่เรียกว่า "เขตป่าเปิด" เช่น น้ำตกวังกวาง น้ำตกผาน้ำผ่า ผาหล่มสัก เป็นต้น
- ซึ่งต่างจากอีกพื้นที่หนึ่ง ที่กำหนดเป็นเขตหวงห้ามสักหน่อย คือเขตที่เรียกว่า "เขตป่าปิด" ซึ่งจะเป็นโซนทางด้าน น้ำตกขุนพอง น้ำตกหงษ์ทอง เป็นต้น โดยเฉพาะน้ำตกขุนพองและน้ำตกผาน้ำผ่า เป็นเส้นทางง่ายๆ ที่ไปเช้าเย็นกลับได้ ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวอยากเข้าไปมากที่สุด เนื่องจากในช่วงต้นฤดูหนาว บริเวณน้ำตกขุนพอง จะมีต้น เมเปิ้ลเปลี่ยนสีงดงามมาก แต่ถ้าใครมีเวลาสำหรับเที่ยวป่าปิด เป็นเวลา 3 วัน 2 คืนล่ะก็ จะมีเวลาเพียงพอที่จะชม ความงามได้อย่างครบถ้วน เริ่มต้นจากที่พัก เดินเท้าไปยังน้ำตกธารสวรรค์ ผ่านทุ่งหญ้าสู่ป่าทึบด้านเหนือ มุ่งหน้าไปยังต้นน้ำลำน้ำพอง เมื่อมาถึง "น้ำตกขุนพอง" ที่ต้องเดินลง จากด้านบนไปยังด้านหน้าของน้ำตก จะพบต้นเมเปิ้ลต้นใหญ่ใบกำลังเปลี่ยนสีเป็น สีแดงจัดจ้าน บ้างก็ร่วงหล่นตามโขดหิน แต่งแต้มเกิดเป็นภาพที่งดงาม หลังจากที่อิ่มเอม กับความงดงามของน้ำตกขุนพองแล้ว ก็เดินล่องตามสายน้ำ กระทั่งผ่านมายัง "น้ำตกหงษ์ทอง" เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่มีสภาพป่าที่สวยงามมาก เป็นที่สังเกตว่าใบเมเปิ้ลที่ล่วงหล่น ตามลานหินเป็นใบเมเปิ้ลชนิด 5 แฉก ซึ่งต่างจากส่วนอื่น ซึ่งมี 3 แฉก ทั้งสิ้น เดินจนกระทั่งพบทุ่งหญ้าตัดเข้าสู่ทางทุ่งหญ้าก็สามารถมองเห็นแนวหน้าผาน้ำตกผาน้ำผ่าได้แต่ไกล "น้ำตกผาน้ำผ่า" เป็นน้ำตกขนาดสูง ความงามของน้ำตกจะเกิดช่วงที่แสงแดด สาดส่องเข้าหาด้าหน้าของน้ำตกจะเกิดเป็นสายรุ้งทาทาบอย่างงามตาจากบริเวณน้ำตกผาน้ำผ่า จะเป็นเส้นทางกลับไปยังที่พัก แต่ถ้าหากว่าเราต้องการเดินไปยังป่าลึก ก็มีทางแยกไปยัง โหล่นฟ้าโลมดิน โดยต้องเดินตัดป่าดงดิบสลับด้วยทุ่งหญ้า เป็นเส้นทางที่สูงชัน จนทะลุออกบริเวณโล่งกว้าง ที่เรียกว่า"โหล่นฟ้าโลมดิน" มีลักษณะเป็นลานหิน สลับด้วยทุ่งหญ้า เป็นแหล่งดอกไม้ที่จะพอมีให้เห็นในสภาพที่สมบูรณ์กว่าส่วนอื่นๆ ของภูกระดึงพืชพรรณไม้หลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นมอส เฟิร์น กล้วยไม้ หม้อข้าวหม้อแกงลิง เป็นต้น ในบริเวณโหล่นฟ้าโลมดินจะเป็นแหล่งที่เหมาะสมสำหรับการพักค้างแรม เนื่องจากมีแหล่งน้ำ มีบรรยากาศที่ตั้งแคมป์ได้อย่างดี มีทิวทรรศน์สวยงามจึงเหมาะที่จะเป็นเส้นทางของคนที่รักป่าในแนวนี้จริงๆ เส้นทางวงใหญ่ของเส้นทางป่าปิด เมื่อออกจากโหล่นฟ้าโลมดินแล้ว ก็จะเป็นเส้นทาง ที่มุ่งหน้าสู่ผาส่องโลก ก่อนที่จะถึงผาส่องโลกนั้นจะต้องผ่านป่าดงดิบแหล่งที่อยู่ของสัตว์ป่า โดยเฉพาะช้างป่าที่มีถิ่นหากินอยู่ในแถบนี้ด้วย เมื่อเข้าสูป่าดงดิบแล้วก็จะพบกับ "น้ำตกธารสวรรค์" ต่อจากนั้นเมื่อตัดข้ามป่าดงดิบ ออกสู่ลานทุ่งกว้าใหญ่ อันประกอบด้วยป่าสนที่ยาวไปจรดหน้าผา จะเป็นจุดที่เรียกว่าผาส่องโลก แนวหน้าผาที่เป็นแนวขอบดานบนของภูกระดึง เป็นตำแหน่งที่อยู่เหนือสุดของแนวที่ราบ จากนั้นก็เป็นเส้นทางเรียบแนวหน้าผาไปตามแนวป้องกันไฟป่าจะต้องผ่านโหล่นเจดีย์ ที่เป็นลักษณะลานหิน ทุ่งหญ้า ป่าสน หมู่หิน และต่อจากนั้นก็มาถึง "โหล่นถ้ำพระ" มีลักษณะเป็นลานหินกว้างใหญ่ มีดงหินที่มีลักษณะรูปร่างประหลาดคล้ายกับว่า มีใครนำมาวางซ้อนกัน ถ้าเป็นผู้ที่สนใจในเรื่องพืชก็ต้องใช้เวลามากหน่อย เนื่องจากว่าในบริเวณลานหินเหล่านี้จะมีกล้วยไม้หลายชนิด มอส เฟิร์นขึ้นอย่างหนาแน่น เรียบแนวหน้าผาด้านตะวันออก ถ้าเป็นช่วงยามเช้าก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์ ได้เช่นเดียวกับจุดชมวิวผานกแอ่นแต่บางช่วงก็เป็นเขตป่าทึบ ต้องผ่านแง่งทิดหา ช่องหมู ดอนยาวจนกระทั่งมาถึงเขตป่าเปิดบริเวณลานวัดพระแก้ว ขอแนะนำว่าผู้ที่จะท่องเที่ยวในเส้นทางป่าปิด จะต้องมีความพร้อมทั้งร่างกายและประสบการณ์ ในการเที่ยวป่าพอสมควร และจะต้องมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้นำทางเสมอ จุดเด่นของภูกระดึง คือความสวยงามของ ป่าสน ซึ่งประกอบไปด้วยสนสองใบ สนสามใบ สนพันปี ที่ขึ้นเรียงรายสวยงามอยู่บนยอดภูยอดตัด ป่าไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติภูกระดึง มีหลายชนิด เช่น ป่าเต็งรัง ป่าเบญจพรรณป่าดงดิบ และป่าสนเขา มีพรรณไม้ต่างๆ ได้แก่ เต็ง รัง พลวง แคว มะค่า ยมหอม สมอ มะเกลือ ตะแบก รกฟ้า พญาไม้ หยาดน้ำค้าง สนสามพันปี จำปีป่า ทะโล้เมเปิ้ล ในบริเวณทุ่งหญ้า มีพรรณไม้ดอกที่สวยงาม ออกดอกบานสะพรั่งสลับกันไปในแต่ล่ะฤดูกาล เช่น กุหลาบป่า เทียนน้ำ มณเฑียรทอง แววมยุรา กระดุมเงิน เทียนภู ดาวเรืองภู หยาดน้ำค้าง ยี่โถปีนัง ใบพาย เอนอ้า หงอนนาค ส้มแปะ เหง้าน้ำทิพย์ และกล้วยไม้ต่างๆ ซึ่งบางชนิด ชอบขึ้น ตามลานหินเช่น ม้าวิ่ง เอื้องคำหิน เอื้องคำแสด ส่วนไม้พื้นล่างมี เฟิร์น มอส โดยมี ข้าวตอกฤาษี ซึ่งเป็นมอสขนาดใหญ่ และสวยงามที่สุด เป็นจำนวนมาก
- ผานกเค้า
- ริมทางหลวงหมายเลข 201 เส้นทางสู่จังหวัดขอนแก่น เมื่อรถวิ่งมาถึงผานกเค้า หลายคนคงอดแหงนมองผาสูงชันนี้ไม่ได้จนคอตั้งบ่า มองจนกว่าจะผ่านลับสุดสายตา มองแล้วก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า หากเราปีนขึ้นไปบนยอดผาสูงนี้ได้คงจะดี ในความสูงที่ไล่ระดับกันขึ้นไปนี้จะประกอบไปด้วยหินปูนและตะไคร่น้ำ ต้นไม้น้อยใหญ่ปกคลุมคละเคล้ากันไปตามซอกหลืบ และเหลี่ยมหิน จึงอยากจะเชิญชวนนักปีนผา นักไต่เขาผู้ชำนาญมาปีนยอดผานกเค้า ให้เห็นเป็นขวัญตาสักครั้งก็ยังดีเพื่อจารึกไว้ว่ายอดผาที่หลายคนแหงนมองนี้ข้าเคยขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว อย่ามัวแต่มองกันอยู่เลยหากธรรมชาติได้เปลี่ยนแปลงไปสักวันผานี้ อาจจะลดขนาดลงเป็นแค่ภูเขาธรรมดาก็เป็นได้
- อ่างเก็บน้ำห้วยยาง
- อยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอกระดึงประมาณ 2 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 1,200 ไร่ ความจุน้ำปริมาณ 3,712,960 ลูกบาศก์เมตร อ่างเก็บน้ำนี้ในฤดูแล้งจะปล่อยน้ำไปสู่ไร่นาของชาวบ้านที่ทำการเกษตรนอกฤดูฝนเช่น ไร่ยาสูบ ข้าวโพดหวาน ผักต่าง ๆ บริเวณอ่างเก็บน้ำอยู่ใกล้กับตลาดสดเทศบายตำบลภูกระดึง ภายในบริเวณอ่างเก็บน้ำมีร้านขายอาหารอีสาน คือ ร้านขายข้าวเหนียว ส้มตำไก่ย่าง หม่ำย่างปลาย่าง ฯลฯ และเครื่องดื่มและมีซุ้มไมไผ่สำหรับนั่งหรือนอนพักผ่อนชมวิวโดยไม่เสียค่าบริการนอกจากนี้อ่างเก็บน้ำห้วยยางยังมีการเลี้ยงปลาในกระชังของชาวบ้าน และในอ่างเก็บน้ำนี้ยังเหมาะแก่การตกปลา เนื่องจากกรมประมงได้ปล่อยปลาน้ำจืดไว้ให้ชาวบ้านได้จับไปเป็นอาหาร โดยเลี้ยงปลาแบบให้ปลาหากินเองตามธรรมชาติ เช่น ปลานิล ปลายี่สก ปลาตะเพียน ฯลฯ
- ตารางแสดงลักษณะเด่นของแห่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอภูกระดึง
- อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
- สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของอำเภอภูหลวง
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง
- ภูหลวง คือภูเขาใหญ่ที่ทอดจากเหนือมาใต้ ปลายเหนือสุดอยู่ในเขตอำเภอภูเรือ แล้วต่อแนวมายังอำเภอด่านซ้าย อำเภอภูหลวง อำเภอวังสะพุง มีพื้นที่ประมาณ 848 ตารางกิโลเมตร หรือ 530,000 ไร่
- กรมป่าไม้ประกาศจัดตั้งพื้นที่ป่าบนเทือกเขาภูหลวงให้เป็นเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2517 เพื่ออนุรักษ์สภาพป่าให้สมบูรณ์เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าและเป็นที่แพร่พันธ์ของพรรณไม้ชนิดต่างๆ
- โดยทั่วไป เขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าไม่ใช่สถานที่สำหรับท่องเที่ยวเหมือนกับอุทยานแห่งชาติ แต่เป็นพื้นที่ซึ่งมีลักษณะภูมิประเทศและระบบนิเวศวิทยาที่สมบูรณ์ ซึ่งกรมป่าไม้ประกาศสงวนไว้ เพื่อรักษาสภาพธรรมชาติให้คงเดิมมากที่สุด โดยให้มีการรบกวนจากบุคคลภายนอกให้น้อยที่สุด นอกจากนี้ยังอาศัยเป็นที่สำหรับศึกษาวิจัยธรรมชาติ สัตว์ป่าและพืชพรรณต่างๆ อีกด้วย ขณะนี้เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง มีศูนย์วิจัยสัตว์ป่า ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่วิจัยและเผยแพร่ผลงานวิจัยเกี่ยวกับพืชและสัตว์ป่า และมีหน่วยพิทักษ์ป่าอยู่ถึง 15 หน่วย
- สภาพภูมิประเทศของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง มีลักษณะเป็นเทือกเขายอดตัดสลับซับซ้อน เริ่มจากระดับความสูง 400 เมตร จากระดับน้ำทะเลขึ้นไป จนถึงระดับยอดเขาที่สูง 1,200-1,550 เมตรจากระดับน้ำทะเล ยอดเขาที่สูงสุดคือภูขวาง สูง 1,571 เมตรจากระดับน้ำทะเล อยู่ทางด้านตะวันออกของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง
- พื้นที่ทางด้านตะวันออกและตะวันตกของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวงจะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือ ทางตะวันตกมีแต่เนินภูเขาเตี้ยๆ แต่พื้นที่ทางตะวันออกมีลักษณะเป็นเขาใหญ่ทอดเทือกยาวไกล แม่น้ำเลยซึ่งมีต้นน้ำอยู่บนเทือกภูหลวงอยู่ตอนกลางของพื้นที่ เป็นเส้นแบ่งพื้นที่ตะวันออกและตะวันตกออกจากกัน
- ฤดูกาลบนภูหลวงนั้นมีอยู่สามฤดูเหมือนพื้นราบ แต่ระดับอุณหภูมิแตกต่างกัน หน้าร้อนเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน มีอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 20-24 องศาเซลเซียส หน้าฝนอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคม ระดับอุณหภูมิจะใกล้เคียงหรือต่ำกว่าเล็กน้อย แต่เมื่อถึงหน้าหนาวนั้น อุณหภูมิจะลดลงมาก คือเฉลี่ย 0-16 องศาเซลเซียสในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม ช่วงนี้บางวันอุณหภูมิจะลดลงถึง -4 องศาเซลเซียส
- ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็น พันธุ์ไม้เมืองหนาวจึงแพร่พันธุ์มาได้ถึงภูหลวง เช่น ไม้สนแผงหรือต้นแปกลม ต้นเมเปิ้ลหรือที่เรียกว่าไฟเดือนห้า บ๊วยจีน ฯลฯ ที่นี่ยังเป็นแหล่งกำเนิดกล้วยไม้ป่าอีกกว่า 160 ชนิด มีโตรกผา สวนหินธรรมชาติ งามน่าชม นอกจากนี้ยังมีผู้คนพบซากหินรอยเท้าไดโนเสาร์อายุกว่า 120 ล้านปี ในบริเวณโคกผาเตลิ่นทางด้านตะวันออกของเทือกภูหลวงด้วย
- ที่นี่มีป่าหลากชนิดอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ใหญ่ เช่น เลียงผา ช้าง กระทิง เสือโคร่ง ฯลฯ ป่าดิบแล้ง อยู่ในบริเวณระดับความสูง 400-1,000 เมตร มีไม้ใหญ่อย่างกฤษณา ก่อแดง มะกอกป่า ฯลฯ ป่าดิบเขาซึ่งอยู่เหนือระดับความสูง 1,000 เมตรขึ้นไป มีสนสองใบและสนสามใบเป็นไม้เด่น ส่วนป่าผลัดใบหรือป่าเบญจพรรณนั้น ขึ้นอยู่บริเวณระดับความสูง 400-600 เมตร มีไม้ใหญ่อย่างเหียง รกฟ้า ตะแบก ฯลฯ
- นอกเหนือจากป่าสนแล้ว เสน่ห์อีกอย่างของป่าภูหลวงอยู่ที่ดอกไม้ป่าชนิดต่างๆ ไม้เล็กเหล่านี้จะผลักดันทำหน้าที่เติมชีวิตเติมสีสันให้เทือกภู ป่าภูหลวงแตกต่างกันออกไปตามฤดูกาล ดอกไม้ป่าที่บานในฤดูร้อนจะมีสีสันเจิดจ้าสวยงาม อย่างเอื้องตาเหิน (Dendrobium Formosum) กล้วยไม้ป่า ดอกขาว มีกระเปาะสีเหลืองลักษณะคล้ายคัทลียา ชอบขึ้นตามก้อนหินและคาคบไม้ หรืออย่างส้มแปะ (Vaccinium sprengelii) ไม้พุ่มขนาดกลาง ดอกเป็นช่อสีขาว ปลายกลีบดอกแต่งแต้มด้วยสีส้มจางๆ หรืออย่างเอื้อตากำลังเอก (Dendrobuim unicum) กล้วยไม้ป่าอีกชนิดหนึ่ง ดอกสีแสด ชอบขึ้นบนก้อนหินและคาคบไม้ แซมสลับด้วยดงกุหลาบแดง (Rhododendron simsii) และกุหลาบขาว (Rhododendron lyi) ซึ่งออกดอกเป็นช่อ แต่ละดอกมีลักษณะคล้ายดอกชบาลา ต่างจากกุหลาบกลีบซ้อนที่คุ้นตา
- ส่วนหน้าฝนจะมีพืชล้มลุกต้นเตี้ยที่ชอบขึ้นตามพื้นดิน อย่าง เปราะภู (Caulokaempferia thailanddica) ดอกไม้ป่าดอกเล็กๆ สีชมพูอมม่วง ขึ้นแซมตามทุ่งหญ้าเฉพาะพื้นที่ระดับความสูง 1,200 เมตรขึ้นไป และเทียนน้อย (Impatiens muscicola) ดอกสีม่วงแดง ขึ้นกระจายตามริมผา ฤดูนี้ตามโขดหินก็ยังมีเฟินและไลเคน สีสันสวยงามน่าชม
- ด้วยเหตุนี้ ทางกรมป่าไม้จึงอนุมัติให้พื้นที่บางส่วนของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง เป็นพื้นที่เพื่อการพักผ่อนและศึกษาธรรมชาติและพันธุ์ไม้ โดยอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมธรรมชาติได้เฉพาะในฤดูหนาว และเฉพาะจุดที่จำกัดไว้เท่านั้น
- จุดที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวได้คือ ทางด้านอำเภอวังสะพุง ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง โดยทางสำนักงานการท่องเที่ยวอำเภอวังสะพุง เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการจัดการท่องเที่ยว ในแต่ละครั้งจะรับนักท่องเที่ยวได้ไม่เกิน 150 คน คิดค่าบริการผู้ใหญ่คนละ 695.50 บาท เด็ก 538.50 บาท อันเป็นอัตราที่รวมค่าอาหาร ค่าที่พัก และมัคคุเทศก์ ในช่วงระยะเวลา 3 วัน 2 คืน (อัตรานี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้)
- เส้นทางท่องธรรมชาติ มีดังนี้
- เริ่มเดินทางออกจากเชิงภูหลวงในตอนเช้า ผ่านด่านพิทักษ์ป่าห้วยแบ่ง ระยะทางประมาณกว่า 2 กิโลเมตร เส้นทางช่วงนี้เป็นไหล่เขาค่อนข้างสูงชัน ผ่านป่าดิบแล้งและป่าดิบเขา ซึ่งมีพันธุ์ไม้ที่น่าสนใจศึกษาอยู่หลายชนิด เช่น มะไฟป่า ชะม่วง พะวา ยางควนเลือดควาย สนแดงน้ำ เป็นต้น
- ฮ่อมกวางถึงห้วยกุ้ง ระยะทางยาวรวม 4 กิโลเมตร สองข้างทางเดินเป็นป่าดิบเขาในช่วงฤดูฝน ว่านจะออกดอกบานสะพรั่งทั่วไป บริเวณนี้เป็นจัดพักรับประทานอาหารกลางวัน
- ห้วยกุ้งถึงภูดินแดง ระยะทางประมาณกว่า 2 กิโลเมตร เส้นทางสูงชัน ป่าสองข้างทางยังคงเป็นป่าดิบเขา สามารถมองเห็นกล้วยไม้ป่าตามคาคบไม้ใหญ่
- ภูหินแดงถึงถ้ำเกลี้ยง ระยะทางช่วงนี้ประมาณกว่า 4 กิโลเมตร โดยช่วง 2 กิโลเมตรแรกมีเส้นทางลาดชัน เป็นป่าหิน และช่วง 2 กิโลเมตรหลังเป็นป่าดิบเขา มีพันธุ์ไม้ที่ขึ้นในที่สูง อาทิ พญาไม้ พญามะขามป้อมดง สนใบพาย ไผ่สีวาน ไผ่ออลอ ขึ้นอยู่ทั่วไป
- ถ้ำเกลี้ยงถึงโหล่นมน ระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร เป็นเส้นทางเดินที่ราบหลังภูเขาซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินได้อย่างสบายๆ คลายความเหนื่อยด้วยการชมธรรมชาติของหมู่สนชนิดต่างๆ สองข้างทาง อาทิ หมู่สนสามพันปี สนแผง สนใบพาย เป็นต้น ตลอดจนกล้วยไม้สกุลต่างๆ
- เส้นทางนี้จะผ่านที่ราบที่เรียกว่า "โหล่นมน" (คำว่า "โหล่น" หมายถึงที่ราบบนภูเขา) ซึ่งมีสภาพพื้นดินชื้นแฉะ อุดมไปด้วยป่าสน (แปกดำ) และพันธุ์ไม้ดอกฤดูร้อนและฤดูฝน เช่น กระดุมเงิน หญ้าข้าวก่ำ เปราะภู ส้มแปะ สำเภางาม เอนอ้า บานอ้า เป็นต้น บริเวณโหล่นมนยังใช้เป็นแคมป์กางเต็นท์ของนักท่องเที่ยว พร้อมมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายรองรับ อาทิ โรงอาหาร ห้องสุขา โทรศัพท์สาธารณะ ฯลฯ
- โหล่นมนถึงโหล่นสาวแยงคิง ระยะทางประมาณกว่า 2 กิโลเมตร ลักษณะพื้นที่เป็นทุ่งหญ้าและมีต้นสนสามใบขึ้นกระจายให้เห็นเป็นระยะๆ ในช่วงฤดูฝนจะพบกล้วยไม้ดินดอกสีเหลืองชูช่อบานสะพรั่ง โหล่นสาวแยงคิงถึงโหล่นแต้ ระยะทางประมาณกว่า 1 กิโลเมตร ที่โหล่นแต้นี้ ลักษณะเป็นลานหินขนาดใหญ่ มีพันธุ์ไม้แคระ (เหง้าน้ำทิพย์) กุหลาบ
- วนอุทยานน้ำตกห้วยเลา
- ตั้งอยู่ที่บ้านแก่งศรีภูมิ ตำบลแก่งศรีภูมิ อำเภอภูหลวง จังหวัดเลยลักษณะเป็นน้ำไหลตลอดออกมาจากถ้ำเลยดั้น ซึ่งมีความสูงจากระดับถนนหลวง ประมาณ 1,009 เมตร ภายในถ้ำเป็นแอ่งน้ำ กว้างประมาณ 8 x 20 เมตร ลึกประมาณ 1 เมตร ถึง 1.20 เมตร น้ำจากถ้ำลอดแห่งนี้จะไหลรินอยู่ชั่วนาตาปี โดยไหลลงสู่เบื้องล่างผ่านโขดหินน้อยใหญ่ สูงต่ำแตกต่างกันไป กลายเป็นน้ำตกจำนวน 10 ชั้น
- ตารางแสดงลักษณะเด่นของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอภูหลวง
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง
- สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของ อำเภอผาขาว
- วัดถ้ำผาสวรรค์
- ตั้งอยู่ที่ วัดถ้ำผาสวรรค์ หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านเพิ่ม อำเภอผาขาว จังหวัดเลย เปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2546 มีทิวทัศน์และทัศนะที่สวยงาม ภายในบริเวณถ้ำมีหินย้อยสวยงาม บรรยากาศร่มรื่นเหมาะสำหรับการพักผ่อนของนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
- เดินทางโดยทางรถยนต์ สายหนองหิน-เอราวัณ ห่างจากอำเภอผาขาว ประมาณ 12 กิโลเมตร และห่างจากถนนสายมลิวัลย์ กิ่ง อำเภอหนองหิน ระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร
- วัดถ้ำผาสวรรค์
ตารางแสดงลักษณะเด่นของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของอำเภอผาขาว
- สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของกิ่งอำเภอหนองหิน
- สวนหินผางาม
- ตั้งอยู่ที่บ้านผางาม ตำบลปวนพุ บริเวณด้านหน้ามีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวไว้คอยให้บริการ พื้นที่ส่วนใหญ่ส่วนใหญ่ของสวนหินผางามเป็นภูเขาหินขนาดใหญ่สลับซับซ้อนกัน มีพันธุ์ไม้ต่างๆ แปลกตามากมาย สวนหินแห่งนี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "คุณหมิงเมืองไทย" เส้นทางมีความคดเคี้ยวเป็นเขาวงกต และยังมีจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม เปิดให้ชมทุกวัน ระหว่างเวลา 08.00 - 17.00 น.
- การเดินทาง โดยรถยนต์ส่วนตัวจากเมืองเลยใช้ทางหลวง หมายเลข 201 ผ่าน อ.วังสะพุง มุ่งหน้าไป กิ่ง อ.หนองหิน ถึงตลาดหนองหิน ให้เลี้ยวขวาเข้าถนน หนองหิน-สวนหินผางาม อีก 17 กม. เมื่อเลย บ้านผางาม ไปเล็กน้อยจะมีทางแยกขวามือ เลี้ยวเข้าไปอีกประมาณ 500 ม. จึงถึงสวนหินผางาม โดยรถประจำทางลงที่ตลาดหนองหิน นั่งรถสายหนองหิน-ผาหวาย ค่ารถ 20 บาท
- การเที่ยวชม จัดกลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่ม ๆ 10 คน ค่านำทางกลุ่มละ 100 บาท และค่ารถอีแต๊ก 5 บาท
- ถ้ำโพธิสัตว์หรือกุ้ยหลินเมืองเลย
- ตั้งอยู่ในบริเวณบ้านปวนพุ ตำบลปวนพุ การเดินทางใช้เส้นทางเดียวกับสวนหิน ห่างจากปากทางราว 9 กิโลเมตร จะมีทางแยกขวาเข้าไปตามทางลูกรัง 600 เมตร แล้วเลี้ยวซ้ายอีก 1.4 กิโลเมตร ก็จะถึงถ้ำ
- ถ้ำแห่งนี้มีถ้ำเล็กถ้ำน้อยเรียงรายอยู่ใต้ยอดเขาทั้งหมด 15 คูหา แต่ละคูหามีชื่อเรียกต่างๆ กัน เช่น เขาวงกต ถ้ำลับแล สวรรค์ชั้นต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีหินย้อยรูปร่างสวยงามแปลกตาอีกมากมาย การเข้าชมนั้นควรติดต่อกับทางเจ้าหน้าที่ อบต.ก่อน เนื่องจากไม่มีไฟฟ้า และการเดินถ้ำวกวนมาก ใช้เวลาในการเดินชมอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ค่านำทางกลุ่มละ 100 บาท
- ถ้ำมโหฬาร
- อยู่ที่บ้านหนองหิน ตำบลหนองหิน อยู่ในบริเวณวัดถ้ำมโหฬาร การเดินทาง ใช้ทางหลวงหมายเลข 201 (เลย-ชุมแพ) พอถึงกิโลเมตรที่ 162-163 เลี้ยวซ้ายเข้าไปตามทางลาดยาง ประมาณ 2 กิโลเมตร ภายในถ้ำมีบริเวณกว้างขวาง มีถ้ำเล็กถ้ำน้อยสลับซับซ้อนมากมาย
- น้ำตกเพียงดิน หรือ น้ำตกวิสุทธารา
- ตั้งอยู่ตำบลปวนพุ อยู่เลยสวนหินไป 2 กิโลเมตร น้ำตกหินปูนขนาดกลาง ที่เกิดจากลำห้วยไหลตกลงไปตามโขดหินปูน มี 2 ชั้น ชั้นบนสูงประมาณ 5 เมตร ชั้นล่างสายน้ำแผ่กว้างออกไปตามผาหินกว้างอย่างสวยงาม มีการก่อปูนขวางทางน้ำด้านล่างจนกลายเป็นแอ่งน้ำใหญ่เหมาะสำหรับเล่นน้ำ ไม่อันตราย บรรยากาศโดยรอบร่มรื่น เหมาะสำหรับพักผ่อน นั่งรับประทานอาหารมีลานจอดรถด้านบนน้ำตก และช่วงวันหยุดมีร้านอาหารจำพวก ส้มตำ - ไก่ย่าง
- น้ำตกสวนห้อมหรือน้ำตกสันติธารา
- อยู่ที่บ้านสวนห้อม ตำบลปวนพุ อยู่ก่อนถึงสวนหินผางาม ประมาณ 2 กิโลเมตร โดยจะอยู่เลยบ้านสวนห้อมเล็กน้อย บริเวณกิโลเมตรที่ 15 มีทางแยกขวามือเข้าไปอีก 1 กิโลเมตร ถึงลานจอดรถ และมีทางเดินขึ้นบันไดไปอีกประมาณ 100 เมตร จึงถึงน้ำตก
- น้ำตกสวนห้อมเป็นน้ำตกขนาดกลาง มองเห็นได้แต่ไกล ไหลตกลงมาเป็นชั้น ๆ ลดหลั่นลงมาตามขั้นหินปูนอย่างสวยงาม จนถึงแอ่งน้ำเบื้องล่าง บริเวณน้ำตกสวนห้อมเหมาะสำหรับพักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นของแมกไม้ลายรอบ
- ตารางแสดงลักษณะเด่นของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของกิ่งอำเภอหนองหิน
- สวนหินผางาม
- สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของกิ่งอำเภอเอราวัณ
- โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ผานาง-ผาเกิ้ง
- ตั้งอยู่ที่ บ้านผานาง หมู่ที่ 5 ตำบลผาอินทร์แปลง กิ่งอำเภอเอราวัณ จังหวัดเลย มีเนื้อที่จำนวน 500 ไร่ พื้นที่ดังกล่าวมีความอุดมสมบูรณ์ อยู่ติดกับเทือกเขาภูผาผีถอน ซึ่งเป็นป่าธรรมชาติ ประมาณ 1,500 ไร่
- ปัจจุบัน ยังมีสภาพป่าที่สมบูรณ์มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มาก เช่น ลิง, ชะมด, อีเห็น , ไก่ป่า, กระรอก นกชนิดต่าง ๆ มีลำน้ำตามธรรมชาติไหลผ่านเหมาะสำหรับปลูกสร้างสวนป่า และทำไร่นา สวนผสม ตลอดจนการก่อสร้าง บ้านเล็กในป่าใหญ่ ให้ราษฎรยากจนได้อยู่อาศัย ตามโครงการ "บ้านเล็กในป่าใหญ่"
- วัดถ้ำข้าวสารหิน
- ตั้งอยู่ที่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของบ้านผาสะนา หมู่ที่ 4 ตำบลทรัพย์ไพวัลย์ กิ่งอำเภอเอราวัณ จังหวัดเลย ห่างจากบ้านผาสะนาประมาณ 8 กิโลเมตร มีลักษณะเป็นภูเขา และมีหินบางส่วนบนภูเขามีลักษณะคล้ายเมล็ดข้าวสาร ในอดีตเรียกว่าภูถ้ำโจก ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่าภูผาสะนา
- ตารางแสดงลักษณะเด่นของแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของกิ่งอำเภอเอราวัณ
- โครงการบ้านเล็กในป่าใหญ่ ผานาง-ผาเกิ้ง